Thursday, 27 August 2015

รู้ทันศัตรู (๔) กลไกรัฐของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ

โดยพอน ตาไว
กรกฎาคม ๒๕๕๕


   การกดขี่ขูดรีดประชาชนทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้น ชนชั้นนายทาส ศักดินาและนายทุน ต่างใช้ “รัฐ” ที่พวกตนสร้างขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว เป็น “เครื่องมือ” ที่มีพลังอำนาจเหนือประชาชน เพื่อ “กด-ขี่” ทางการเมืองการปกครองให้ประชาชนยอมจำนนที่จะทำงานการผลิตจากนั้นจึงจะเข้ากระบวนการ “ขูดรีด-ปล้นชิง” เอาวัตถุสิ่งของและบริการต่างๆ ไปเสียจากประชาชนที่สร้างผลผลิตเหล่านั้นขึ้นมา

   “รัฐ” ได้เริ่มปรากฏตัวขึ้นเมื่อย้อนไปหลายพันปีก่อน ในยุคที่มนุษย์ได้รู้จักผลผลิตและใช้โลหะเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ไม่ต้องเร่ร่อนพเนจร มีผลผลิตส่วนเกินที่เหลือจากการกินใช้ กลุ่มคนที่ไม่ต้องทำการผลิตก็มีกินมีใช้ ซึ่งกลุ่มคนที่ผละตัวออกจากการผลิตได้ก่อตัวขึ้นเป็นอีกชนชั้นหนึ่งที่ไม่ต้องการงานผลิตอีกต่อไป แต่ก็มีกินมีใช้อย่างอุดมสมบูรณ์ ด้วยการใช้กำลังบังคับควบคุมคนอื่นให้หาเลี้ยงตนเอง และยังได้สร้าง กฎหมาย รัฐบาล ทหาร ตำรวจ ศาล คุก วัฒนธรรม คำสอน ประเพณี เรื่องเล่า ฯลฯ เข้าควบคุมคนทั้งสังคม ในที่สุด “รัฐ” ได้วิวัฒนาการเป็นองค์กรและจินตภาพในรูปแบบต่างๆ ที่เข้าควบคุมคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมีความสลับซับซ้อน มีคนและกลไกสอดประสานงาน มีอำนาจจากชุมชนเล็กๆ ไปถึงระดับชาติแล้วข้ามประเทศกลายเป็นกลไกของข่ายกดขี่ขูดรีดทางชนชั้นไปทั่วโลก


สำหรับประเทศไทย “รัฐ รัฐบาลและกลไกรัฐอื่นๆ” จะมีรูปแบบหน้าที่และคุณสมบัติเช่นใด? ในเมื่อรูปแบบของสังคมไทยเป็น “ระบอบทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ที่มี “ชนชั้นนายทุนศักดินา” เป็นชั้นบนสุด และมี “ชนชั้นกรรมาชีพ ไพร่ทาส” เป็นชนชั้นล่างสุด ซึ่งทำหน้าที่รับจ้างหรือขายกำลังแรงงานเพื่อใช้ผลิตสินค้าและบริการ พร้อมกับจ่ายส่วยและสวามิภักดิ์ต่อทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่ต้องการการตอบสนองจากชนชั้นล่างทั้ง 3 ประการ คือ ขายแรง จ่ายส่วย (ค่าเช่า ค่ากินเปล่า ฯลฯ) และรับใช้ฟรี ทั้งนี้เพื่อการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐเอง


   แน่นนอนว่า “รัฐ รัฐบาล และกลไกรัฐ” ของประเทศไทยย่อมทำหน้าที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่มีกษัตริย์และสถาบันกษัตริย์ดำรงอยู่ เช่น ประเทศอังกฤษ ญี่ปุ่น สวีเดน สเปน ฯลฯ ซึ่งมีประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจและเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ กษัตริย์ไม่ใช่เจ้าของและไม่เป็นผู้ใช้อำนาจ ส่วนประเทศซาอุดิอาระเบีย บรูไน ฯลฯ กษัตริย์หรือสถาบันกษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจและใช้อำนาจ แต่มีอำนาจอย่างจำกัดภายใต้กฎหมายบัญญัติ ประชาชนภายใน “รัฐ” ดังกล่าว จึงสามารถคาดคะเนวิถีชีวิต การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร การยุติธรรมและการทำมาหากินของตนเองได้ตามกฎหมายและวัฒนธรรมของตน และคนต่างชาติก็ยังสามารถติดต่อปฏิสัมพันธ์กับประเทศเหล่านั้นได้ตามกฎเกณฑ์ที่เปิดเผย และสามารถคาดคะเนถึงความอยู่ในร่องในรอยของบทบัญญัติในระบบยุติธรรมได้


   แต่ทว่า “รัฐ รัฐบาลและกลไกรัฐ” ของประเทศไทยภายในสังคมที่มี “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ครอบงำอยู่กลับมีลักษณะพิเศษต่างจากประเทศอื่นๆ เป็น “รัฐ”เอกลักษณ์แห่งเดียวในโลกที่ประชาชนไทยและคนต่างชาติมิอาจคาดคะเนได้หรือคาดคะเนได้ยากต่อความเป็นไปในระบบความยุติธรรม กฎหมาย การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ฯลฯ ที่ปรากฏตามลายลักษณ์อักษร แม้แต่สิ่งที่บันทึกไว้เป็นตำราประวัติศาสตร์หรือกฎหมายที่ตราไว้แล้ว และคำพิพากษาต่างๆก็ตาม หาใช่ความจริงหรือสิ่งที่จะใช้เป็นบรรทัดฐานในสังคมปรกติของ “สังคมทุนนิยม หรือ ศักดินานิยม” ที่ใช้กฎเกณฑ์แบบใดแบบหนึ่งตามปกติไม่ และย่อมมิใช่ “รัฐ รัฐบาลและกลไกรัฐ” ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขที่มีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญตามปรกติอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไปแต่อย่างใด

« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 01:58:14 PM »
กล่าวคือ รัฐ รัฐบาล และกลไกรัฐของไทยในปัจจุบันของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ที่ชนชั้นนี้ได้วิวัฒนาการมาจาก “ชนชั้นศักดินา” ที่ใช้ขุนนางหอกดาบ ศาสนาและวัฒนธรรมมาจาก “กลไกรัฐ” เพื่อหากินฟรีกับแรงงานไพร่ทาส จนต่อมาชนชั้นศักดินาได้รู้จักใช้ “ทุนเงินตรา” ซื้อแรงงานมาทำกำไรจากส่วนเกินที่แย่งชิงจากลูกจ้าง

   หลังจากชนชั้นศักดินาสูญเสียอำนาจปกครองและสูญเสียทรัพย์สมบัติ เงินทุน และธุรกิจ ไปในช่วงการปฏิวัติของคณะราษฎร 2475 ชนชั้นศักดินาก็สามารถย้อนฟื้นคืนสู่อำนาจรัฐได้อีกครั้ง จากการทำรัฐประหารปี พ.ศ. 2490 และได้สร้างกฎหมายรัฐธรรมนูญยกระดับฐานะชนชั้นตนให้ “เหนือรัฐ” รวมทั้งได้สิทธิ์ในทรัพย์สิน ที่ดิน เงินทองและการดำเนินธุรกิจกลับคืนมา จนสามารถทำลายล้างทุนขุนนางและทุนขุนศึกลงอย่างราบคาบหลังจากชนชั้นศักดินาได้ “ยืมมือ” นักศึกษาโค่นล้มรัฐบาลขุนศึกถนอม-ประภาสลงในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516

   ผ่านการทำรัฐประหารกระชับอำนาจของชนชั้นศักดินาอีกครั้งในการฆ่าหมู่นักศึกษาเมื่อ 6 ตุลาคม 2519 ชนชั้นศักดินาเดิมได้วิวัฒนาการแปรเปลี่ยนคุณภาพเป็น “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ขึ้นอย่างชัดเจน  ทุนนี้ได้พัฒนาหากินระดับผูกขาด มีเทคโนโลยีสูง และเชื่อมเครือข่ายหากินกับโลกาภิวัฒน์ได้ก่อนใคร  

ซึ่งอาจกล่าวเฉพาะในมิติการปกครองได้ว่า “เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใหม่” ที่มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเขียนบทบัญญัติรับรองสถานภาพของชนชั้นนี้ไว้ให้สังคมเลี้ยงดู และให้ “ใช้” อำนาจของประชาชนได้อย่างเบ็ดเสร็จ โดยมีกฎหมายคุ้มครอง ห้ามตรวจสอบพฤติกรรมหรือศีลธรรม ห้ามประเมินความคุ้มค่า และความรับผิดชอบใดๆ ของชนชั้นนี้ที่จะต้องมีต่อสังคม พร้อมทั้งยังเพิ่มบทบัญญัติให้ชนชั้นนี้อยู่เหนือรัฐ เหนือกฎหมาย เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ เหนือทรัพย์สมบัติชาติ และเหนือการตรวจสอบอีกด้วย ซึ่งก็คือการวางสถานะชนชั้นนี้ให้มีอำนาจอยู่เหนือ ชีวิต เลือดเนื้อ แรงงาน ทรัพย์สิน กฎหมาย การเมือง วัฒนธรรม ศาสนา และรูปแบบจิตสำนึกประชาชนทั้งปวงนั่นเอง

   ถึงแม้ว่า ประชาชนจะได้เลือกตั้งรัฐบาลจากพรรคเพื่อไทยที่เป็นตัวแทนของชนชั้นนายทุนกลุ่มใหม่ซึ่งเชื่อมโยงบางส่วนกับโลกาภิวัตน์ แต่ไม่มีสิทธิพิเศษเหมือนทุนผูกขาดศักดินาที่สืบทอดมาจากกฎหมายและวัฒนธรรมโบราณ จน “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” เกือบจะดูเหมือนเป็นรัฐบาลของประชาชนชั้นล่างที่เข้าไปยึดครอง “รัฐบาล” ได้แล้วก็ตาม แต่ “กลไกรัฐอื่นๆ” ของทุนผูกขาดศักดินา ยังมีบทบาทเหนือกว่า “รัฐบาลที่มาจากประชาชนลงคะแนนให้” และขณะเดียวกัน “รัฐบาล” ก็ยังคงทำหน้าที่กลไกรัฐหลักในการรับใช้ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐอยู่เช่นเดิม ดำเนินการกดขี่ขูดรีด เป็นมือเป็นเท้า หรือเป็นกองอำนวยการกดขี่ขูดรีดและบริการแก่ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐอยู่ไม่เสื่อมคลาย

   “รัฐบาล” นี้จึงยังมิใช่กลไกอำนาจของปวงชนชาวไทย หากแต่ยังเป็น “องค์กรของชนชั้นทุน” ยังคงกดขี่ขูดรีดชนชั้นผู้ใช้แรงงานเป็นหลัก บรรเทาทุกข์เป็นรอง ส่งเสริมระบอบกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตให้กับเอกชนและทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐอย่างเอาการเอางาน ทำลายโอกาสเข้าถึง ทุน ที่ดิน ทรัพยากร การผลิตและการตลาดของประชาชนลงอย่างย่อยยับ ผูกมัดประชาชนไว้กับการรับจ้างด้วยสวัสดิการเล็กน้อยและความจน

« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:03:05 PM »
ปัจจุบัน ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ มีสภาพทั้งนิตินัยและพฤติกรรมอันเหนือรัฐและเหนือรัฐบาลอย่างเข้มข้น จนบางครั้งถึงกับมีผู้ใช้วาทะกรรมเรียกชนชั้นนี้ว่า “ทุนผูกขาดศักดินาอันธพาลเหนือรัฐ” หาใช่ “ชนชั้นศักดินาที่กดขี่ขูดรีดเพียงดอกเบี้ย กำไร แรงงานส่วนเกินและค่าเช่าทางเศรษฐกิจ” หรือเพียงมีไพร่ทาสตามการแบ่งชั้นวรรณะทางวัฒนธรรมโบราณเท่านั้น หากยังมี “กลไกรัฐและพฤติกรรมแบบอันธพาล เจ้าพ่อหรือนักเลงโต” และมี “ศาลเตี้ย-ศาลรับสั่ง” เป็นสมุนทำหน้าทีก่อกวน ไล่ล่า จับกุม ขัดจังหวะ พิพากษาและสังหารประชาชนอีกด้วย
   ในการต่อสู้โค่นล้มการกดขี่ขูดรีดของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐโดยชนชั้นนี้จะพังพินาศลงแท้จริงนั้น ประชาชนจะต้องทำลายล้าง “กลไกรัฐ”และ “บุคลากร”  ที่เป็นตัวค้ำยันและขับเคลื่อนการกดขี่ขูดรีดให้หักโค่นลงอย่างราบคาบสิ้นเชิงด้วย จึงจะสร้างกลไกรัฐชนิดใหม่ของประชาชนขึ้นมาได้


   ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ มีเพียงไม่กี่คน แต่ก็สามารถทำให้เกิดปรากฏการณ์ “คนจำนวนน้อยควบคุมคนจำนวนมากได้ สามารถทำให้คนส่วนใหญ่อีกห้าสิบล้านคน (นับเฉพาะคนที่ทำงาน) หาเลี้ยงคนไม่กี่คนได้” ปรากฏการณ์นี้มี “รัฐ รัฐบาลและกลไกรัฐ” ที่มีประสิทธิภาพ มีบุคคล กลุ่ม องค์กร ที่กระจายตัว เชื่อมโยงเครือข่ายทั่วประเทศ สามารถขับเคลื่อนควบคุม จ้องมองประชาชนอยู่ตลอดเวลา 
ซึ่งสามารถจำแนกประเภทกลไกรัฐของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐได้ ดังนี้

   จำแนกตามวัตถุประสงค์

   1.กลไกรัฐที่ควบคุมร่างกายประชาชน “ให้กระทำและห้ามกระทำ” ได้แก่ กฎหมาย คุก ตำรวจ ทหาร ศาล เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กระทรวง ทบวง กรม ฯลฯ

   2.กลไกควบคุมจิตสำนึก ได้แก่ ครูอาจารย์ นักวิชาการ ตำราเรียน สื่อมวลชน ภาพยนตร์ ภาพถ่าย นักบวช ประเพณีโบราณ ประเพณีที่ประดิษฐ์คิดค้นขึ้นใหม่ๆ วันเกิด วันตาย พิธีกรรมเก่าๆ ไสยศาสตร์ ความงมงาย ภูตผีปีศาจ ศาลเจ้า ศาลพระภูมิ วัตถุมงคล ฯลฯ

   จำแนกตามกลุ่มภารกิจ

   1.กลไกรัฐด้านการเมือง ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์และพรรคสำรอง กลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มแฝงตัวในพรรคการเมืองอื่น สื่อมวลชน กลุ่มสยามประชาวิวัฒน์ กลุ่มนักวิชาการนิยมเจ้า องค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิ ชมรม สมาคมในเครือข่ายเจ้าหรือนิยมเจ้า บริษัทในเครือของทุนผูกขาดศักดินา ศาล ตุลาการ เพื่อแทรกซึม สร้างความชอบธรรมแก่ชนชั้นตน หรือทำลายล้างทางการเมืองต่อฝ่ายตรงข้าม

   2.กลไกรัฐด้านการใช้กำลังบังคับด้วยทางทหารตำรวจ ได้แก่หน่วยเสนาธิการ หน่วยบัญชาการ หน่วยล่าสังหาร หน่วยจิตวิทยา หน่วยข่าวกรอง หน่วยลาดตระเวน หน่วยสื่อสารการรบ หน่วยเยียวยาฟื้นฟู หน่วยก่อกวนต่อต้านการข่าว หน่วยปฏิบัติการ กองทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาสาสมัคร ฯลฯ

   3.กลไกรัฐด้านขูดรีด ปล้นชิง สูบโกยทางเศรษฐกิจ ได้แก่ บริษัท มูลนิธิ โครงการพิเศษ ฯลฯ ที่ดำเนินการขูดรีดกำไร ค่าเช่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม เงินกินเปล่า ซึ่งมีกฎหมายและหน่วยงานราชการอำนวยการและรักษาการขูดรีด เช่น กรมที่ดิน กระทรวงต่างๆ ที่ใช้อำนาจโยกย้ายและคุ้มครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน ตลอดจนการให้สัญญาและสัมปทานผูกขาดชนิดต่างๆ แก่ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ และต่างชาติที่หากินร่วมกับทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ


   จำแนกตามยุคสมัย ได้แก่

   1.กลไกรัฐแบบเก่า ได้แก่ คุก ศาล ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กฎหมาย นักการศึกษา นักบวช ฯลฯ

   2.กลไกรัฐแบบใหม่ ได้แก่ มูลนิธิ องค์กรและกิจกรรมการกุศล การปฏิบัติการจิตวิทยา สื่อมวลชน สื่อและกิจกรรมเฉพาะกิจ การลอบสังหาร  การล็อบบี้ การตกลงลับ การให้ทุน ให้รางวัล ให้เกียรติยศ การมอมเมาจิตใจ การใช้สัญลักษณ์สีเสื้อ กำไลข้อมือ กล้องวงจรปิด การจารกรรม การขึ้นทะเบียนผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยแบบให้เงินแลกกับความลับ ฯลฯ

จำแนกกลไกรัฐตามลักษณะ คุณสมบัติและหน้าที่   

   1.ฝ่ายบริหารจัดการ ได้แก่ หน่วยเสนาธิการ องคมนตรี สโมสรขัตติยะ สมาคมวงศ์ตระกูล ฝ่ายอำนวยการรหัส “ภักดี” กอ.รมน.สันติบาล ฯลฯ
   2.ฝ่ายให้องค์ความรู้และการศึกษาวิจัย ได้แก่ สถาบันการปกครองวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันพระปกเกล้า มหาวิทยาลัยต่างๆ ฯลฯ

   3.ฝ่ายประดิษฐ์และใช้เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์กลไกรัฐ ได้แก่ โรงงานการผลิตอาวุธ ดาวเทียม กล้องวงจรปิด สายลับอิเล็คทรอนิค การดักฟังโทรศัพท์ เรด้า อาวุธชนิดต่างๆ แฟ้มประวัติบุคคล กำไลข้อมือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ วัตถุมงคล เสื้อสี โลโก้ ธง เพลง ป้าย ชื่ออาคาร สถานที่ที่ใช้ในการสร้างภาพลักษณ์ให้กับทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ 

   4.ฝ่ายใช้กลไกควบคุมจิตสำนึกและพฤติกรรม ได้แก่ กฎหมาย วัฒนธรรม การศึกษา เช่น กฎหมายอาญามาตรา 112 รัฐธรรมนูญ ฯลฯ พิธีกรรม ตำราเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงบุคคลทั่วไป เพลง ภาพ ศิลปะ ฯลฯ

   5.ฝ่ายกลไกรัฐแบบบุคคล ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน สายลับ บุคคลทำหน้าที่หาข่าว ชี้เป้า ต่อต้านการข่าว จารกรรม ฯลฯ

   6.ฝ่ายกลไกแบบองค์กร และทีมงาน ได้แก่ ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ที่ว่าการอำเภอ ศาลากลางจังหวัด องค์กรพัฒนาเอกชน โครงการพระราชดำริ วัด โบสถ์ มัสยิด มูลนิธิ สถานีตำรวจ ค่ายทหาร ด่านตรวจค้าน ฯลฯ

   7.ฝ่ายกลไกรัฐแบบสนับสนุน ได้แก่ ข้าราชการ พลเรือน บริษัท ร้านค้าของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ

   8.ฝ่ายกลไกรัฐแบบปะทะรุนแรง ได้แก่ ตำรวจ ทหาร ศาล อัยการ เรือนจำ หน่วยล่าสังหาร ฯลฯ


   9.ฝ่ายกลไกรัฐแบบกิจกรรมในกระบวนการผลิตซ้ำหรือทำซ้ำๆ เช่น การแซ่ซ้องสรรเสริญซ้ำๆ หรือ กระบวนการเคลื่อนตัวในระบบกลไกรัฐ เช่น การออกคำสั่ง การเกณฑ์แรง การเก็บส่วย การประชุมอบรม การคุกคามข่มขู่ การปิดกั้นถนน การห้ามกระทำการต่างๆ ในถิ่นที่อยู่ของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ

   นอกจากนี้ ยังสามารถจำแนกกลไกของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐได้โดยใช้กฎเกณฑ์อื่นๆ อีก เช่น

   จำแนกกลไกรัฐตามเขตพื้นที่และระดับการปกครอง ได้แก่ รัฐบาลกลาง (ส่วนกลาง-ส่วนภูมิภาค) และรัฐบาลท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนตำบล/จังหวัด เทศบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา)

   จำแนกกลไกรัฐตามการใช้สื่อ ได้แก่ องค์กรควบคุมสื่อทางโทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ การปราศรัย สื่อซีดี การจัดกิจกรรม การอภิปราย การบรรยาย การเรียนการสอน การชุมนุม การสนทนา ฯลฯ

   จำแนกกลไกรัฐตามรูปแบบการจัดตั้ง ได้แก่ กลไกรัฐอย่างเป็นทางการเช่น กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ฯลฯ กลไกรัฐแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลุ่มมวลชนปกป้องสถาบัน ลูกเสือชาวบ้าน อาสาสมัคร กอ.รมน. ลูกเสืออินเตอร์เน็ต หน่วยล่าแม่มด ฯลฯ กลไกรัฐแบบเฉพาะกิจ เช่น ให้รางวัลนำจับ การจัดตั้งหน่วยหาข่าวยาเสพติดบังหน้าแต่กลับหาข่าวทางการเมือง หรือหน่วยช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์เพื่อชนะการเลือกตั้ง หรือจ้างบุคคลทั่วไปตะโกนด่าทอ ใส่ความ ก่อกวน ล่าสังหาร ลักพาตัว ก่อวินาศกรรม เป็นต้น

« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:13:11 PM »
อย่างไรก็ตาม ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ยังได้จัดตั้งกลไกรัฐแบบลับ สำหรับขับเคลื่อนทางการเมืองและการต่อสู้ทางทหารเอาไว้อีกจำนวนมากทั่วประเทศ เช่น การจัดตั้งกลุ่มเลือดขัตติยะสำหรับวางแผนประเมินสถานการณ์และสั่งการลับ มีการจัดตั้งบุคคลให้ทำหน้าที่เป็นกลไกพิเศษที่คอยรายง่านข่าว สืบข่าว หรือปฏิบัติการลับในหมู่บ้าน ในชุมชนต่างๆ ในรูปของพ่อค้า นักพัฒนา วินมอเตอร์ไซด์ คนขับแท็กซี่ นักบวชที่คอยสังเกตและชี้นำชาวบ้าน หรืออาจเป็นครู-อาจารย์ที่คอยสืบความลับของบิดามารดาจากเด็กนักเรียน โดยวิธีต่างๆ เช่น ตั้งคำถามนักเรียน สัมภาษณ์นักเรียน หรือให้วาดภาพเพื่อล้วงความลับของผู้ปกครองนักเรียน ล้วงความลับภายในบ้านเรือนของประชาชน เป็นต้น


   ดังนั้น ในการต่อสู้เพื่อกวาดล้างทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ประชาชนจึงต้องทำการต่อสู้หักโค่นกลไกรัฐของชนชั้นดังกล่าวในทุกระดับ ซึ่งมี “คน” ทำหน้าที่กลไกรัฐ ตั้งแต่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จนถึงระดับประเทศ กลไกรัฐทุกประเภทของศัตรูต้องถูกทำลายล้าง มีจังหวะก้าว “โค่นล้ม กำจัด กวาดล้าง และสร้างใหม่”  อย่างละเอียดรอบคอบไม่ประมาท  เพราะชนชั้นกดขี่ขูดรีดของไทย มีความโหดเหี้ยม มีกลไกรัฐมากมาย ทั้งลับและเปิดเผย มีอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรในการปฏิบัติการณ์และการสื่อสารที่ทันสมัยมีศักยภาพสามารถก่อทุรกรรมย่ำยีประชาชนได้ในทุกหย่อมหญ้า

   ที่สำคัญ ยังมีบุคคลหรือกลุ่มคนที่พร้อมจะแสดงตัวตนเป็นอันธพาลหรือทาสหรือสมุนชนชั้นสูงอย่างไร้เหตุผล ไม่ลังเลที่จะโลดแล่นเข้าทำร้ายเข่นฆ่าประชาชนด้วยกันเองอีกด้วย นี่คือกลไกรัฐของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่สร้างขึ้นใน “จิตสำนึกของบุคคล” ที่ติดตั้งในสมองคน และพร้อมจะแสดงพฤติกรรมทำร้ายประชาชน โดยทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง


   การเรียนรู้ “กลไกรัฐ” อย่างลึกซึ้งทั้งในระดับชาติจนถึงระดับหมู่บ้านจากระดับองค์กรถึงบุคคล จากกลไกรัฐทางกายถึงกลไกรัฐทางจิตสำนึก จะทำให้ประชาชนรู้ว่ามีกลไกรัฐชนิดใด ทำงานอย่างไร มีขนาด ปริมาณเท่าใด และหากจะทำลายกลไกรัฐที่ชั่วร้ายเหล่านั้น จะใช้วิธีการใด ซึ่งการเรียนรู้กลไกรัฐของศัตรูนี้จะทำให้ประชาชนมองเห็นแนวทางและมีขวัญกำลังใจในการคิดค้นหาวิธีการทำลายกลไกรัฐและบุคลากรของศัตรูได้ง่ายขึ้น

   ตัวอย่างเช่น กลไกรัฐที่ฝังแน่นในสมองประชาชน คือกลไกแรกที่ประชาชนต้องเอาชนะด้วยการเผยแพร่ความเป็นจริงแห่งการกดขี่ขูดรีด พร้อมกับติดตั้งรูปการจิตสำนึกใหม่ ให้ประชาชนเลือกข้างให้ถูกต้อง และเสียสละเข้าร่วมการทำลายล้างสิ่งเก่า สร้างสิ่งใหม่

   อีกตัวอย่างหนึ่ง  เช่น  หากประชาชนในหมู่บ้านรู้ถึงกลไกรัฐที่เป็นประเภท “บุคคล” ซึ่งทำหน้าที่สายข่าวความมั่นคงหรือเป็นตัวปฏิบัติการให้กับทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ  และประชาชนได้ลงมือกำจัดออกไปจากสังคมหมู่บ้านได้แล้ว  เมื่อนั้น จะส่งผลให้กลไกระดับอำเภอ จังหวัด และฝ่ายทหารของชนชั้นกดขี่ขูดรีดที่เป็นทีมงานเครือข่ายของสายลับรายนั้น (ผู้บงการที่อยู่เหนือขึ้นไป) จะตกอยู่ในสภาพหูหนวกตาบอดทันที หากมีการส่งกลไกรัฐตัวใหม่เข้ามาหรือสร้างกลไกรัฐขึ้นอีก ก็จะอยู่สภาพที่ถูก “กลไกรัฐฝ่ายประชาชน”ควบคุมได้ และประชาชนในหมู่บ้านนั้นก็ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เป็นต้น

   ดังนั้น การกวาดล้างกลไกรัฐเดิมที่อยู่ในรูปของความคิด จิตสำนึก บุคคล กลุ่มคน องค์กร กฎหมาย ศาล ตุลาการ สภา กองทัพ และสถาบันเก่าของชนชั้นกดขี่ขูดรีดให้สิ้นไปทั้งประเทศ ย่อมจะนำไปสู่การสถาปนา “กลไกรัฐแบบใหม่” ที่มาจากประชาชนในรูปแบบของ “สภาหมู่บ้านประชาธิปไตยทางตรง” “คณะกรรมการประชาชน” หรือแบบ “สภาสมัชชาประชาชน”ตามแต่ประชาชนจะเห็นพ้องและทำร่วมกัน โดยประชาชนเป็นผู้ควบคุมกำกับกลไกรัฐเกิดใหม่และเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐเองทางตรง  เพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้ง 3 ทางคือ นิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ ก็จะเกิดขึ้นภายใต้อำนาจประชาชนได้ในที่สุด.

No comments:

Post a Comment

Note: only a member of this blog may post a comment.