Thursday, 27 August 2015

รู้ทันศัตรู(๕) ชุดความคิดของศัตรูที่ใช้ต่อสู้กับประชาชน

โดย พอน ตาไว
มีนาคม  ๒๕๕๖


       นับจากการทำรัฐประหารของฝ่ายทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ เมื่อ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙  ประชาชนจำนวนมากได้สัมพันธ์กับเหตุการณ์ต่างๆ ในการต่อต้านคณะรัฐประหาร ที่ปฏิบัติการโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.)  ทั้งเข้าร่วมชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง  จนยกระดับมาถึงเหตุการณ์ถูกทหาร ๖๙,๐๐๐ คนปิดล้อมรุมฆ่าตายและบาดเจ็บที่ราชประสงค์จำนวนมาก

   ความพ่ายแพ้ครั้งนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ได้ฟื้นตัวขึ้นต่อสู้รอบใหม่ พร้อมคำถามสำคัญ ๓ ข้อ ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน คือ


   ๑.คุณสู้กับใคร?
   คำถามข้อนี้ ได้มีคำตอบระบุถึง “ตัวตนของศัตรู”บ้างแล้ว  โดยมีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์ลักษณะสังคมไทยโดยใช้ทฤษฎีลัทธิมาร์กซ และ ข้อมูลของสังคมไทยเอง ที่สามารถระบุว่าเป็น “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ที่มีอิทธิพลจักรพรรดินิยมอเมริกาครอบงำ”  อันบ่งชี้ลักษณะธาตุแท้ของความขัดแย้งและคู่ขัดแย้งพื้นฐานที่แผ่ซ่านไปทั้งสังคม  “ชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” จึงเป็นคู่กรณีที่ประชาชนไทย ต้องกำจัดให้สิ้นไป 

   ๒.ชัยชนะคืออะไร?
คำตอบในข้อนี้ (และข้อ ๓ด้วย) มีชุดคำตอบที่แตกต่างกันมากในขบวนการของคนเสื้อแดง  ทั้งนี้เพราะจุดยืนและแนวมองต่างกันนั่นเอง จึงเห็นศัตรูต่างกัน  เช่น  ศัตรูคือบุคคลหรือระบอบ? ครอบครัวเดียวหรือทั้งชนชั้น? เครือข่าย จำนวน พื้นที่ ขนาด กลไก เครื่องมือฯลฯ ของศัตรูที่ใช้สำหรับ “กอบโกย-ขูดรีดทางเศรษฐกิจ” คืออะไร? 

ปมขัดแย้งทางเศรษฐกิจเป็นปมพื้นฐานที่เกิดความขัดแย้งแล้วไปปะทุที่การเมืองหรือไม่? หรือเพียงแค่ความรู้สึกคับข้องใจในสิทธิเสรีภาพบางข้อเท่านั้น?  

โครงสร้างของระบอบและกลไกรัฐที่ใช้กดขี่ข่มเหงและฆ่าฟันประชาชนทางการเมืองมีอะไรบ้าง? อยู่ที่ใด? เป็นต้น

   สำหรับชัยชนะที่ต้องการคืออะไร? คำถามนี้มีชุดคำตอบออกมาแตกต่างกันมาก เช่นกัน เช่น  ชัยชนะคือศักดินาใหญ่ตายและคนรับมรดกยอมอยู่ใต้รัฐธรรมนูญบ้าง  ได้ประชาธิปไตยบ้าง  แก้กฎหมายมาตรา ๑๑๒ สำเร็จบ้าง ได้รัฐบาลที่มาจากประชาชนเลือกตั้งโดยไม่มีรัฐประหารบ้าง แก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จบางมาตราบ้าง  ฯลฯ ทั้งหมด ที่มองต่างกันนี้ ก็เพราะมองขนาด และปริมณฑลของศัตรูคือใคร?  ต่างกันนั่นเอง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:22:22 PM »
๓.ผลพวงที่จะได้รับและหลักประกันชัยชนะคืออะไร?
คนส่วนใหญ่มักจะไม่พูดถึง “ชัยชนะเด็ดขาด”
“ชัยชนะถาวร”
“ชัยชนะแบบประชาชนเป็นผู้ปกครองและเป็นผู้ใช้อำนาจเอง”
“ชัยชนะแบบประชาชนตั้งสภาประชาชนทุกระดับมาใช้อำนาจทางตรง”

 หรือ “ชนะแล้วประชาชนจะต้องได้ทรัพย์สิน องค์กรธุรกิจ ที่ดิน อาคาร เงิน สัมปทานทั้งหมด ทั้งที่ตั้งอยู่ในประเทศและต่างประเทศ  ที่ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐปล้นสะดมขนย้ายเอาไปเพื่อคืนสู่สังคม” เป็นต้น

โดยภาพรวมแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ ต่างต้องการการเปลี่ยนแปลง และต้องการชัยชนะ  แม้จะยังไม่มี “หมุดหมายที่เป็นรูปธรรม” ว่าจะชนะอะไร? ที่ไหน? อย่างไร? ก็ตาม 
อะไรเล่า? ที่ทำให้เป้าหมาย หนทาง ภารกิจพร่ามัวดุจหลงทางกลางทะเล ในทะเลในคืนไร้ดาว !
อะไรเล่า ? เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อประชาชนในการเอาชนะ !

ปัญหาและอุปสรรค สำคัญคู่หนึ่งคือ ความไม่ถึงพร้อมของ “เจตนาและปัญญา”

เหตุที่ประชาชนยังไม่มีความคิดและความพร้อมที่จะเอาชนะ เพราะยังขาด “เจตนาและปัญญา” ซึ่งเป็น  “๒ ปัจจัย” ที่ เสริมเติมกันแบบ “วิภาษวิธี”ให้เกิดชัยชนะ  คือ 

ปัจจัยที่ ๑. ต้องมีเจตนาแน่วแน่ที่จะเอาชนะแบบเด็ดขาด/ถาวร/มีหลักประกัน 
 
ปัจจัยที่ ๒. ต้องมีปัญญา/มีองค์ความรู้/ความสามารถ/ทักษะ/แผนงาน/มีการจัดตั้งและการลงมือปฏิบัติการ

สรุปคือ ประชาชนต้องมีทั้ง “เจตนาและปัญญา” จึงจะเอาชนะศัตรูได้ 
โดยเจตนาและปัญญา “ต้องลุกโพลงประจักษ์แจ้งภายในตัวตนของประชาชนเอง”

สิ่งที่เป็นปัญหาและอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางมิให้ประชาชนมีจิตสำนึกและมีภูมิปัญญาที่จะเอาชนะ ก็คือ “ระบบคิด”หรือ “ชุดความคิด” ต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องมาขวางกันไว้ ซึ่งจะต้องค้นหาให้พบ แล้วกำจัดทิ้งไป พร้อมกับเอา “ระบบคิด”ที่ถูกต้องไปแทนที่

สำหรับ “ชุดความคิด” หรือ “ระบบคิด” ที่ฝ่ายศัตรูได้จงใจเผยแพร่ฉีดพิษเข้าสู่ขบวนการต่อสู้ของประชาชนมีอะไรบ้าง และจะวินิจฉัยอย่างไรว่าอะไรถูกหรือผิด? นั้น ในที่นี้ ได้ใช้ทัศนะวิทยาศาสตร์และจุดยืนของประชาชนที่เสียเปรียบมากที่สุด ถูกกดขี่รีดไถมากที่สุด มาเป็นแนวมองในการวินิจฉัยความถูก-ผิด /ดี-เลว

การต่อสู้ของประชาชน ตลอดระยะเวลานับจากการอภิวัฒน์ของคณะราษฎร พ.ศ.๒๔๗๕  จนถึงปัจจุบัน พบว่า เต็มไปด้วย “ความพ่ายแพ้” และพบว่า มีสาเหตุหนึ่งมาจาก “ชุดความคิดที่ผิดพลาด” มาเป็น “องค์นำ” ในการต่อสู้  โดยด้านหลักเป็น “ระบบคิด” ที่ฝ่ายอนุรักษ์หรือฝ่ายศัตรูเป็น “ผู้กำหนดชุดความคิด” โดยมีฝ่ายประชาชนเป็นฝ่าย “รับเอาชุดความคิดของเขามาใช้” สำหรับ“ชี้นำ” หรือใช้เป็น “องค์นำในการต่อสู้” โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ขณะเดียวกัน ก็มี “ชุดความคิดผิดพลาด” ที่ถูกอธิบายและนำมาใช้จากฝ่ายปฏิรูป และก็มี “ชุดความคิดผิดพลาด” ที่ออกมาจากฝ่ายปฏิวัติเองอีกด้วย
การวินิจฉัยว่า “ชุดความคิดใด” ถูกหรือผิดนั้น มีแต่ใช้จุดยืนและทัศนะทางวิทยาศาสตร์ที่มีรากฐานจากปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษวิธี และอยู่บนจุดยืนลัทธิมาร์กซ-เลนินอย่างเข้มงวด  อันเป็นระบบคิดที่ถือเอาประโยชน์ทางชนชั้น มีลักษณะสู้รบและมีจุดยืนของประชาชนเป็นตัวตั้ง

สำหรับสังคมไทย พบว่า มีชุดความคิดหลักที่สำคัญ ๓ กลุ่มความคิด  คือ

๑.กลุ่มชุดความคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยม
๒.กลุ่มชุดความคิดฝ่ายปฏิรูป
๓.กลุ่มชุดความคิดฝ่ายปฏิวัติ

« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:26:00 PM »
๑.กลุ่มชุดความคิดของฝ่ายอนุรักษ์นิยม 

ชุดความคิดหลักๆ ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่นำมาใช้สำหรับอธิบายเพื่อครอบงำรูปการจิตสำนึกประชาชนมาอย่างยาวนาน ได้แก่
๑.๑ ชุดความคิดยอมรับชะตากรรมอันต่ำต้อยที่มาจากเวรกรรมในอดีตชาติ
๑.๒ ชุดความคิดเกรงกลัวภัยจากอำนาจบารมี และห้ามวิพากษ์วิจารณ์
๑.๓ ชุดความคิดสถาบันกษัตริย์ปรีชาสามารถและดีเลิศ

ชุดความคิดทั้ง ๓ ชุดนี้ เป็นของฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติ  ถือได้ว่า เป็น “ชุดความคิดเชิงยุทธศาสตร์ในการครอบงำสังคม”
ชุดความคิดที่ ๑.๑ เป็นชุดความคิดที่แข็งแกร่ง ครอบงำคนไทยมายาวนานที่สุด ยังแข็งแกร่งที่สุด และสามารถหน่วงเหนี่ยวการต่อสู้เพื่อหาทางออกทางการเมืองเอาไว้ได้อย่างทรงพลังที่สุดด้วย 

ชุดความคิดเชื่อบุญกรรมอดีตชาติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อธิบายผ่าน “กลไกศาสนา ศาลเจ้า วัตถุแปลกประหลาด ร่างทรง หมอดู เหรียญบูชา ภาพบูชา รูปปั้น วัตถุมงคลสมมุติ ฯลฯ ”


ส่วน ชุดความคิด “อำนาจบารมีห้ามท้าทายห้ามแข่งขัน ห้ามวิจารณ์” กับชุดความคิด “สถาบันกษัตริย์เก่งกล้าสามารถและดีงาม” นั้น เป็นองค์ความคิดที่ลดระดับฐานะนำลงเรื่อยๆ 

ชุดความคิดที่ ๒ กับที่ ๓ นี้  นำเสนอผ่านกลไกการอธิบายโดยสื่อมวลชน ทั้งของรัฐและเอกชน ผ่านโรงเรียน มหาวิทยาลัย หน่วยงานราชการทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น  โดยเฉพาะผ่านองค์กรธุรกิจและมูลนิธิของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ

สำหรับ ชุดความคิดที่ ๓ สถาบันกษัตริย์ปรีชาสามารถและดีเลิศ นั้น ได้อธิบายว่า“สถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญต่อชีวิตคนไทย และประเทศไทยจะขาดเสียมิได้  เพราะมีคุณความดีต่างๆ และเป็นเสาหลักค้ำจุนชีวิต สังคม การเมือง เศรษฐกิจ และคุ้มครองทุกองค์กร”
แม้ว่าชุดความคิดนี้ ดูเหมือนจะเป็น “องค์นำ” ในการอัดฉีดเข้าสู่สมองคนไทยในปัจจุบันก็ตาม  แต่ขาดน้ำหนักของเหตุผล และข้อเท็จจริงที่รองรับอย่างมาก  และขัดแย้งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตสมัยใหม่ของประชาชนหนักหน่วงขึ้น  

จากเดิมที่หวังให้ชุดความคิดนี้เป็นระดับ “ยุทธศาสตร์หลัก” ในการครอบงำ แต่ปัจจุบันได้ถูกนำเสนอได้เพียงในระดับ “ยุทธวิธี” แบบโฆษณาชวนเชื่อหรือปฏิบัติการจิตวิทยา  หรือ โฆษณาการตลาดแบบ “ถังเปล่า” ซึ่งไม่มีเนื้อหาแก่นสารสาระต่อการนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งในระดับธุรกิจ หรือระดับครัวเรือนใดๆ ของประชาชนเลย

« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:30:49 PM »
๒.กลุ่มชุดความคิดฝ่ายปฏิรูป
ชุดความคิดฝ่ายปฏิรูป เป็นระบบคิดที่มีสาระหลักอยู่ตรงกลางระหว่าง ชุดความคิดของฝ่ายอนุรักษ์ กับ ฝ่ายปฏิวัติ โดยมีเป้าหมายปรับปรุงพัฒนาสิ่งที่ล้าหลังของฝ่ายอนุรักษ์ แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะจัดรื้อโครงสร้างเก่าแล้วสร้างใหม่แบบฝ่ายปฏิวัติ
ช่วงระยะเวลาการต่อสู้กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ชุดความคิดปฏิรูปจะดูก้าวหน้ากว่า แต่เมื่อมีขบวนการต่อสู้ ๓ ขบวน มีชุดความคิด ๓ รูปแบบ ๓ เนื้อหา  ทำให้ “ชุดความคิดแบบปฏิรูป” ถูกผลิตออกมา “ใช้อธิบาย” สังคม การต่อสู้ เป้าหมาย และวิธีการอย่างมากมาย มีลักษณะกวัดแกว่ง ไม่คงเส้นคงวา โลเล เดี๋ยวเกาะเกี่ยวฝ่ายโน่นที ฝ่ายนี้ที
แต่ชุดแนวคิดปฏิรูปก็มีคงเส้นคงวา ในจุดยืนเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นทุนผูกขาด และ  ชนชั้นนายทุนน้อย อันเป็นการดิ้นรนในระหว่างเขาควายแห่งกระแสการต่อสู้ ที่ปลายขั้วทั้งสองข้างนับวันจะรุนแรง แหลมคน และเป็นอิสระมากขึ้น

ชุดความคิดฝ่ายปฏิรูป ได้แก่

๒.๑ ชุดความคิดประชาธิปไตยจากบนลงล่าง หรือประชาธิปไตยจากชนชั้นนำ

ชุดความคิดฝ่ายปฏิรูปชุดนี้ ได้ก่อตัวขึ้น มายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕  ตั้งแต่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ที่ทำหนังสือกราบบังคมทูลให้รัชกาลที่ ๕ ทำการปฏิรูประบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ให้มีระบบรัฐสภา  แต่มิได้รับการเห็นชอบจากรัชกาลที่ ๕
 
ชุดความคิดนี้ได้พัฒนาและขยายตัวขึ้น จนวิวัฒนาการมาสู่คุณภาพใหม่ที่มีลักษณะก้าวหน้า  เป็นแบบชุดความคิด “ปฏิวัติ” ของคณะราษฎร
ชุดความคิด “ประชาธิปไตยแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ” ของคณะราษฎร เป็นชุดความคิดครอบงำสังคม ” โดยคณะราษฎรที่ประกอบด้วยข้าราชการ ขุนนาง ได้ใช้ชุดความคิดนี้เข้ามาขยายสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนเพิ่มขึ้น  แทนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

แต่อีกด้านหนึ่งกลับยังคงบทบาทด้านลบ คือการกดทับและบีบบังคับให้ประชาชนยอมรับการมีอำนาจพิเศษทางการเมืองของชนชั้นศักดินาที่ได้สิทธิตามชาติกำเนิด และอำนาจพิเศษของ “ผู้แทน” หรือ “สส.”ที่มาจากชนชั้นนำ  เน้นประชาธิปไตยมาจากคนส่วนบน แต่ปิดอำพรางอำนาจทางตรงของประชาชนด้วยระบบการเลือกตั้ง และยังให้เสรีภาพแก่ผู้ขูดรีดทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอีกด้วย  โดยปกป้องและกรุยทางให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์ในปัจจัยการผลิตที่สำคัญได้อย่างไร้ขีดจำกัด  เปิดทางให้กับการจ้างคนทำงานในสภาพเลวร้ายและให้ค่าแรงราคาถูก 

ในระยะแรกๆ ถือว่าเป็น “ชุดความคิด”นี้ เป็นระบบคิดแบบปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน ที่สามารถทำลายชุดความคิดเดิมแบบศักดินาลงได้  
แต่ต่อมา ก็ถูกบ่อนทำลายให้เจือจาง โดยเพิ่มสิทธิแก่ฝ่ายอนุรักษ์ให้ใช้อำนาจได้อย่างถาวรเบ็ดเสร็จ  ในชื่อ “ระบอบประชาธิปไตยที่มีนามสกุลต่อท้าย”
ชุดความคิดแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ จึงพัฒนาจากเดิมที่เคยก้าวหน้าในสมัยคณะราษฎร ไปเป็น “ชุดความคิดแบบปฏิรูปกฎหมายบางมาตราเล็กๆน้อยๆ ” และกำลังจะกลายเป็น “ชุดความคิดอนุรักษ์นิยม ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ” ในเงื่อนไขที่ขบวนการประชาชนขยายตัวและมีความเข้มแข็งกว่านี้ 


๒.๒ ชุดความคิดชาตินิยม
 
เป็นชุดความคิดที่เข้ามาครอบงำในระยะสั้นๆ ในช่วงคณะราษฎร และจอมพล ป.พิบูลสงคราม มีอำนาจ และมุ่งสร้างอุดมการณ์ร่วมเพื่อพัฒนาประเทศ ประกอบกับเหตุการณ์สงครามโลกและสงครามปฏิวัติระหว่างค่ายสังคมนิยมและทุนนิยม 
ชุดความคิดชาตินิยมไม่มีพลังมากนักในปัจจุบัน มีลักษณะแผ่วเบาลงมาก จนกลุ่มพันธมิตร(คนเสื้อเหลือง) พยายามแปรเปลี่ยนชุดความคิดชาตินิยมแบบปฏิรูป ไปสู่ชุดความคิดชาตินิยมแบบล้าหลังย้อนยุคไปสู่ยุคราชอาณาจักรโบราณเพื่อชี้นำการเมืองเรื่องเขาพระวิหาร  แต่ไม่สำเร็จ


๒.๓ ชุดความคิดลัทธิเศรษฐกิจ หรือ เศรษฐกิจนำการเมือง 

ชุดความคิดนี้ พัฒนามาจากระบบคิดอนุรักษ์นิยมที่เริ่มต้นจากหน่ออ่อนเล็กๆ ในสังคมศักดินา มาจากคำสอนให้มีสัมมาชีพ และคำพังเพย “อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา”

ต่อมาสังคมได้มีชนชั้นนายทุนและกรรมกรเกิดขึ้น  จึงเกิดการต่อสู้กันให้มีกฎหมายแรงงาน ให้มีการปรับปรุงสภาพการทำงานและการจ้าง ตลอดจนให้มีการจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อเป็นหน่วยธุรการแก้ไขความขัดแย้งในสภาพการจ้างและบรรเทาทุกข์
ทำให้ ชุดความคิด “ลัทธิเศรษฐกิจหรือเศรษฐกิจสำคัญกว่าการเมือง” ได้ครอบงำแพร่หลายไปในหมู่ประชาชน  โดยมีชุดคำอธิบายออกมาจากชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ชนชั้นนายทุนผูกขาดระดับรอง นายทุนน้อย ปัญญาชน แม้แต่กรรมกร ชาวนา ลูกจ้าง ด้วยวาทะกรรมและเหตุผลต่างๆ นานา เช่น

“อย่าดิ้นรนทางการเมืองเลย แก้ปัญหาด้วยเศรษฐกิจแบบพอเพียงเถอะ”
“ถึงเวลาปรองดองเพื่อทำมาหากินกันได้แล้ว ลืมความหลังเถอะ”

“ประชานิยม วิน-วิน (Win-Win) หากินกับโลกาภิวัตน์กันเถอะ”
“เราต้องยึดหยัดภายใต้สหภาพแรงงานเพื่อเรียกร้องค่าแรงและสวัสดิการต่อไป”

“เราต้องทำสหกรณ์หมู่บ้านคนเสื้อแดงต่อสู้กับทุนนิยมผูกขาด”
“เราต้องลดละเลิกกิเลส งดกินเนื้อสัตว์และเลิกอบายมุข”
“ไม่มีเงินก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”

“รัฐสวัสดิการ”
“สันติ ร่วมมือ พัฒนา”
“เปลี่ยนผ่านอย่างสันติ”
ฯลฯ

« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:33:49 PM »
๒.๔ ชุดความคิด “เสรีภาพทางการวิจารณ์” หรือลัทธิการเมืองสำคัญกว่าเศรษฐกิจ
หลังจากสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลง พ.ศ.๒๔๗๕ ประชาชนได้เลือกตั้งผู้แทนราษฎร และได้รับรู้ข่าวสารทางการเมืองผ่านการศึกษาในโรงงาน และสถาบันการศึกษาผ่านหนังสือเล่ม หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เวทีปราศรัย และผ่านโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม และสื่อต่างๆ ที่ขยายสิทธิเสรีภาพแห่งการรับรู้และการวิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองอย่างเต็มที่

ชุดความคิด “เสรีภาพแห่งการวิจารณ์” เป็นความคิดที่มีกำเนิดจากชนชั้นนายทุนในยุโรปแล้วแพร่ขยายมายังสังคมไทยโดยนักเรียนนอกและชนชั้นนายทุน  มีลักษณะก้าวหน้ากว่า ชุดความคิด “เกรงกลัวภัยจากอำนาจบารมี และห้ามวิพากษ์วิจารณ์”ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม
ปัจจุบัน ชุดความคิด “เสรีภาพแห่งการวิจารณ์”นี้ ได้ถูกนำมาใช้ต่อสู้กับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ในการแก้กฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ และต่อต้านรัฐประหารซึ่งเป็นด้านที่ก้าวหน้า

แต่ด้านที่ล้าหลัง คือการที่ฝ่ายปฏิรูปได้ถือเอา “เสรีภาพแห่งการณ์วิจารณ์” เป็นเป้าหมายสุดท้ายของการต่อสู้
โดยเชื่อผิดๆ ว่า ถ้าประชาชนมีเสรีภาพในการณ์วิจารณ์แล้ว  จะสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ทางเมืองและเศรษฐกิจได้ทั้งหมด

ด้านก้าวหน้า คือคัดง้างระบอบเผด็จการของฝ่ายอนุรักษ์นิยม 

ด้านล้าหลัง คือ ขัดขวางขบวนการของประชาชนให้หยุดอยู่กับสิทธิ “การวิจารณ์ศัตรูด้วยคำพูด”  เท่ากับได้คัดค้านประชาชนที่จะใช้การวิจารณ์ที่เด็ดขาดด้วยเครื่องมือวิจารณ์ที่มีพลังบังคับมากกว่า”คำพูด” และ คัดค้าน “การใช้อำนาจของประชาชน”
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง “ชุดความคิดเสรีภาพแห่งการวิจารณ์” ก็คือ เครื่องมือการปกป้องอำนาจทางการเมืองของชนชั้นนายทุนอย่างเหนียวแน่นนั่นเอง   และมุ่งขัดขวางการเข้าไปแตะต้องการขูดรีดของชนชั้นทุนด้วยการใช้อำนาจทางตรงของประชาชนอีกด้วย
ชุดความคิดเสรีภาพแห่งการวิจารณ์ จะไม่จัดตั้งประชาชนเพื่อปฏิบัติการ แต่อ้างว่าจัดตั้งทางความคิดก็พอแล้ว หรือ ให้คนเป็นเสรีชนก็พอแล้ว ไม่ต้องจัดตั้งสู้

ปรากฏการณ์การให้มวลชนเป็นหางเครื่อง  เกาะขอบเวทีคอยส่งเสียงเชียร์ รอเสียงนกหวีด รอเวทีชุมนุมปราศรัย จึงเป็นปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวทั่วไป 

ชุดความคิด “เสรีภาพแห่งการวิจารณ์ทางการเมืองของประชาชน”จะสมบูรณ์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนก็ต่อเมื่อนำไปใช้ควบคู่กับ “การปฏิบัติการทางการเมืองของประชาชน” 
เพราะการต่อสู้ของประชาชนจะเสียประโยชน์ไปเปล่าๆ  ถ้ากำหนดสิทธิแห่งการวิจารณ์เพียงด้านเดียว  เหมือนกับมี สิทธิวิจารณ์ผลไม้ แต่ไม่มีสิทธิลิ้มรสชาติอันหอมหวานนั้น

« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:46:44 PM »
๒.๕ ชุดความคิดปลีกย่อยของฝ่ายปฏิรูป ได้แก่ 

๒.๕.๑ ชุดความคิด “ยุทธศาสตร์สำคัญกว่ายุทธวิธี” มีแนวคิดว่า การต่อสู้กับฝ่ายอนุรักษ์ มีภารกิจเพียงทำให้คน “ตาสว่าง” ชี้ให้เห็นความชั่วและความน่าเกลียดน่าชังของฝ่ายอนุรักษ์นิยมมากๆ ก็จะได้ชัยชนะเอง เพราะคนตาสว่างจะมียุทธวิธีต่อสู้ได้เองโดยไม่จำเป็นต้องพูดคุยแลกเปลี่ยน หรือจัดตั้งขบวนการมวลชนใดๆ ไปต่อสู้

๒.๕.๒ ชุดความคิด “ยุทธวิธีสำคัญกว่ายุทธศาสตร์” เป็นชุดความคิดที่เห็นว่า “ยุทธศาสตร์คือสังคมประชาธิปไตย” ไม่มีความจำเป็นต้องพูดรายละเอียดใดๆ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ อีก   ที่สำคัญคือต้อง “สร้างยุทธวิธี” โดยเป็นยุทธวิธีของนักปฏิวัติจำนวนหนึ่งแบบ “คณะราษฎร” และแนวทางของ “พระยาทรงสุระเดช” ที่ไม่ต้องอาศัยมวลชนเข้าร่วมต่อสู้ เพราะจะนองเลือดหรือเสียความลับ ส่วนประชาชนเป็นเพียงคนที่เตรียมตัวอาศัยในสังคมประชาธิปไตยก็พอ  หรือ สร้างคนอยู่ในบ้านเป็นอันดับหนึ่ง สร้างบ้านเป็นอันดับสอง


๒.๕.๓ ชุดความคิด “ลุกขึ้นสู้” (uprising) โดยอ้างแม่แบบจากลิเบีย ตูนีเซีย อียิปต์ ซีเรีย ฯลฯ ซึ่งแนวคิดนี้เชื่อว่าเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง จะมีความพลิกผันของสถานการณ์ขยายตัวใหญ่โตจนเกิดวิกฤติขึ้นได้เอง ซึ่งอาจเป็นไปตามทฤษฎีโกลาหล (chaos) หรือเรียกว่าทฤษฎี“ผีเสื้อขยับปีก”ก็ได้ 
เป็นการลุกขึ้นสู้แบบไม่ต้องเตรียมการ ไม่ต้องจัดตั้ง ไม่ต้องฝึกฝน
ชุดความคิดที่ใกล้เคียงกันกับชุดความคิดนี้คือ “อนาธิปไตย” ต่างคนต่างสู้ และแบบ “น้ำผึ้งหยดเดียว” “เปลี่ยนผ่านสังคมแบบอารมณ์มวลชนพาไปแบบหกเท-หรือ แบบลุกฮืออาละวาด”


๒.๕.๔ ชุดความคิด “ปล่อยตามยถากรรม” โดยเห็นว่าไม่มีใครจะสามารถคาดคะเนถึงรูปแบบการเปลี่ยนแปลงใดๆได้  มีกฎแห่งกรรมตามหลักศาสนากำกับ หรือ หากมีการท่องมนต์คาถาทำพิธีกรรมสาปแช่งก็จะสำเร็จ 
หรืออีกชุดความคิดหนึ่งเชื่อว่า “ชนชั้นปกครองจะเป็นไปตามคำทำนายหรือไม่ก็เป็นไปตามฟ้าดินลิขิตไว้แล้วไม่มีมนุษย์คนใดจะฝ่ายฝืนได้”
อีกชุดความคิดหนึ่งเชื่อว่า “ประชาชนไม่ควรไปแตะต้องทำลายอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์ เพียงแค่การสร้างนวตกรรมประชาธิปไตยแบบใหม่ๆ ประชาชนทั้งหลายก็จะทอดทิ้งพวกอนุรักษ์นิยมให้หมดอำนาจไปเอง เหมือนกับคนหันมาใช้กล้องดิจิตอล ทำให้กล้องโกดักที่ใช้ฟิลม์ล้าหลังหมดสภาพจนปิดโรงงานไปเอง”
๒.๕.๔ ชุดความคิด “ปล่อยตามยถากรรม” โดยเห็นว่าไม่มีใครจะสามารถคาดคะเนถึงรูปแบบการเปลี่ยนแปลงใดๆได้  มีกฎแห่งกรรมตามหลักศาสนากำกับ หรือ หากมีการท่องมนต์คาถาทำพิธีกรรมสาปแช่งก็จะสำเร็จ 
หรืออีกชุดความคิดหนึ่งเชื่อว่า “ชนชั้นปกครองจะเป็นไปตามคำทำนายหรือไม่ก็เป็นไปตามฟ้าดินลิขิตไว้แล้วไม่มีมนุษย์คนใดจะฝ่ายฝืนได้”
อีกชุดความคิดหนึ่งเชื่อว่า “ประชาชนไม่ควรไปแตะต้องทำลายอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์ เพียงแค่การสร้างนวตกรรมประชาธิปไตยแบบใหม่ๆ ประชาชนทั้งหลายก็จะทอดทิ้งพวกอนุรักษ์นิยมให้หมดอำนาจไปเอง เหมือนกับคนหันมาใช้กล้องดิจิตอล ทำให้กล้องโกดักที่ใช้ฟิลม์ล้าหลังหมดสภาพจนปิดโรงงานไปเอง”


๒.๕๕.กลุ่มชุดความคิดแบบ “เพ้อเจ้อ”หรือแบบ “ไล่บี้เห็บหมา”
  เช่น ชุดความคิดที่ว่า “ศักดินาใหญ่ตายไปก็ชนะหรือสู้ง่ายแล้ว” “เลาะเขี้ยวสุนัขทีละเขี้ยว” “กินข้าวทีละคำ” “ลิดกิ่งลิดก้าน” “โลกล้อมประเทศเด็ดขาดแล้ว” “เราชนะทุกวันไม่เคยแพ้เลย” “สมัยนี้ใครก็รักประชาธิปไตยไม่มีใครอยากเป็นเจ้า” “ชนะโดยไม่ต้องรบ” ฯลฯ

๒.๕.๖ ชุดความคิด “ลัทธิก่อภัยสยอง”
 โดยเชื่อว่า ถ้ามีคนจำนวนน้อยยอมพลีชีพในรูปแบบต่างๆ จะทำให้ โครงสร้างการเมืองการปกครองแบบเผด็จการเปลี่ยนไปเป็นประชาธิปไตยได้ เพราะเหตุแห่งความกลัวของผู้ปกครอง

๒.๕.๗ ชุดความคิด “จิตวิทยามวลชน” “โฆษณาชวนเชื่อ”
 โดยแนวคิดนี้มาจากพื้นฐานที่เชื่อว่า ประชาชนจะเดินตามการชักจูงแบบฝูงวัวฝูงควาย โดยการใช้เทคนิคและวิธีการสื่อสารแบบมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วหว่านล้อมให้เป็นไปในทิศทางนั้น 
ชุดความคิดนี้ ยังรวมถึงกลุ่มความคิดแบบ “การตลาด” แบบ “การสร้างแฟนคลับ” แบบ “การผลิตซ้ำ ๆ ในเนื้อหาและวิธีการเดิมๆ ด้วยความถี่ ความแรง ความกว้าง ความใหญ่” ที่มักใช้เนื้อหาง่ายๆ จุดเล็กๆ ไปขยายความคิดให้ไปในแนวการสดุดีสินค้าบ้าง หรือให้ยกย่องความดีส่วนบุคคลบ้าง  และรวมถึงการใช้วาทะกรรมชักจูงใจให้ชอบฝ่ายตน และโจมตีฝ่ายตรงข้าม

๒.๕.๘ ชุดความคิด “การปฏิวัติประชาธิปไตยชนชั้นนายทุน  แบบ ๒ ไม่เอา คือ ๑.ไม่เอาศักดินา และ ๒.ไม่เอาสังคมนิยม”

ชุดความคิดนี้คล้ายชุดความคิด “เสรีภาพในการวิจารณ์” แต่มีจุดมุ่งสำคัญที่จะสกัดกั้น “แนวคิดแบบสังคมนิยม” ไปในตัว และส่งเสริม “ทุนนิยมเสรี” 
โดยเฉพาะมีความเกลียดชังคำว่า  “เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ” หรือ “ประชาธิปไตยชนชั้นกรรมาชีพ” มีความหวาดกลัวฝังหัวกับลัทธิคอมมิวนิสต์ เกลียดชังสตาลิน และเหมาเจ๋อตง เป็นอย่างยิ่ง  มีภาพพลพต แห่งเขมร การพังทลายของกำแพงเบอร์ลิน  และผู้นำเกาหลีเหนือ ตามหลอกหลอนในจิตใต้สำนึก

ผู้ยึดถือชุดความคิดนี้ มักไม่เข้าใจถ้อยคำพื้นฐานทางการเมือง จึงอธิบายแบบจับแพะชนแกะ
 เช่น เรียกรัฐประหารว่าเป็นการปฏิวัติบ้าง  เราต่อสู้เพื่อทุนเสรีบ้าง (ทั้งๆ ที่ทุนพัฒนามาเป็นทุนผูกขาดแล้ว และปัจจุบันเป็นทุนผูกขาดแบบเก็งกำไรโลกาภิวัฒน์เป็ฯเนื้อหลัก แต่กลับจะย้อนยุคจะถอยไปเอาทุนเสรีโบราณเมื่อ ๓-๕๐๐ ปีก่อน) เราสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เอาสังคมนิยมบ้าง ซึ่งจับคู่ขัดแย้งผิดๆ โดยไม่เข้าใจว่า “ประชาธิปไตยและสังคมนิยมมิได้เป็นปฏิบักษ์กัน เพราะในระบอบสังคมนิยมก็มีประชาธิปไตยเหมือนกัน แต่มิใช่ประชาธิปไตยของชนชั้นทุนเหมือนในระบอบทุนนิยม” และที่สำคัญคือฝ่ายปฏิรูปขาดความรู้เรื่องราวภายในประเทศสังคมนิยมว่ามีประชาธิปไตยหรือไม่? อย่างไร? การพัฒนาระบบคิด

จากนโยบายหนึ่งไปอีกนโยบายหนึ่ง เขามีกระบวนการและมีที่มาของข้อสรุปอย่างไร? ความคิดเกี่ยวกับสังคมนิยมยังมีจินตภาพของโจรถ่อยแบบหนังไทยและใช้จินตภาพลวงที่ กอ.รมน.และ ซีไอเอ สร้างขึ้นมากำหนดระบบคิด

ชุดความคิด ของฝ่ายปฏิรูป “แบบ ๒ ไม่เอา” ชนิดนี้  มักจะอธิบายอย่างสับสน ปนเป ผิดพลาดขัดแย้งในคำพูดตนเองอย่างมาก  เพราะชุดความคิดมาจากความรู้สึก ด้วยความไม่รู้ ไม่ศึกษาค้นคว้า ไม่อ่านหนังสือ ไม่ติดตามความเปลี่ยนแปลง และอาจไม่เคยอ่านผลสรุปทางวิชาการมาพิจารณาบ้าง

แต่ก็มีกลุ่มนักวิชาการชั้นนำ  และกลุ่มสหาย พคท.บางส่วน ที่จัดอยู่ในกลุ่มชุดความคิด “๒ ไม่เอา” นี้  โดยพวกเขาอ้างว่าลัทธิมาร์กซล้าสมัย ศึกษามามากแล้ว มีทฤษฎีใหม่ๆ มาแทนที่แล้ว  จีนและรัสเซียเป็นทุนนิยมแล้วไม่เอาสังคมนิยมแล้ว เป็นต้น
ยังไม่พบชุดความคิด ที่เป็น “ลัทธิแก้ หรือ แก้ลัทธิมาร์กซ”มากนัก  แต่มักพบ “โยนลัทธิมาร์กซ ทิ้ง”

« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 02:56:46 PM »
๒.๕.๙ ชุดความคิด “ประชาสังคม” เป็นความคิดปฏิรูปที่ส่งทอดมาจากสายอนุรักษ์นิยมผ่านเอ็นจีโอ และชมรมแพทย์ โดยเชื่อว่าสังคมไม่มีการกดขี่ขูดรีดแบบชนชั้นในแนวดิ่ง มีแต่กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มอาชีพในแนวระนาบ ที่ต้องจัดสร้างเวทีต่อรอง และผ่อนคลายความขัดแย้ง โดยมีรูปแบบของประชาคมหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดสำหรับอภิปรายและปรึกษาหารือกัน มีสภาชิกจากตัวแทนกลุ่มศาสนา ศาลเจ้า ข้าราชการ พ่อค้า ลูกจ้างฯลฯ เป็นสมาชิกประชาคม

ชุดความคิดนี้จะไม่แก้ปัญหาที่โครงสร้างการกดขี่ขูดรีดทางชนชั้นของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ

๒.๕.๑๐ ชุดความคิด “ร้อยดีพันดี” และ “ร้อยเลวพันเลว”

ชุดความคิดร้อยดีพันดี และร้อยเลวพันเลวได้ก่อตัวแตกหน่อขึ้นจากแนวคิดวิภาษวิธีแบบมองสองด้าน หรือมองหนึ่งแยกเป็นสอง บางสายความคิดมาจากหลักการวิเคราะห์แบบ SWOT analysis คือแบบมองจุดอ่อนจุดแข็ง บางสายมาจากแนวคิดมองต่างมุม มองรอบด้าน ก็มี
ปัญหาที่ชุดความคิดนี้ แบ่งส่วนเอาไปใช้ คือ “ร้อยดีพันดี” อะไรอะไรก็ดีไปหมด หรือตรงกันข้ามก็คือ “ร้อยเลวพันเลว”อะไรก็เลวไปหมด
ชุดความคิดชนิดนี้จะเน้นด้านใดด้านหนึ่ง ปกปิดภูมิปัญญาหรือระบบคิดแบบรอบด้าน และละเลยการชั่งน้ำหนักหรือประเมินทั้งสองด้านของเหตุการณ์ ไม่สามารถระบุหรือชี้ด้านหลักด้านรอง แต่ละด้านสัมพันธ์ภายในสิ่ง และนอกสิ่งอย่างไร? 

ที่สำคัญ “ฐานรากของชุดความคิดปฏิรูป” นี้ ได้ตัด “การต่อสู้ทางชนชั้นออกไป” ตัดมิติของที่มาแห่งความขัดแย้งพื้นฐานในความสัมพันธ์แบบ “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” จึงไม่มีบทบาทของมวลชน และการจัดตั้งมวลชนไปต่อสู้  ไม่มีทิศทางและจุดเริ่มและจุดปลายว่าจะเริ่มจากจุดใด และจะไปสู่จุดใดอย่างไร?

ชุดความคิด ฝ่ายปฏิรูป จึงขาดๆ เกินๆ แหว่งๆ วิ่นๆ  
พูดเรื่องเจตนา ก็ขาดเรื่องปัญญา/ พูดเรื่องเป้าหมาย แต่ไม่พูดเรื่องวิธีการ/ พูดทฤษฎี ไม่พูดการปฏิบัติ/ พูดอุดมคติ ไม่พูดปัจจุบัน /พูดภารกิจเฉพาะหน้า ไม่พูดบรรลุเป้าหมายสุดท้าย/พูดลักษณะเฉพาะ ไม่พูดลักษณะทั่วไป/พูดถึงบุคคล ไม่พูดถึงชนชั้น/พูดรูปธรรมไม่พูดกฎนามธรรม ฯลฯ

ในเหตุการณ์การเมืองที่ผ่านมา  ฝ่ายปฏิรูป ได้มีการพิสูจน์ฝีมือในการใช้ชุดความคิดของตนอย่างเต็มที่  ในการนำพาประชาชนต่อสู้ทางการเมือง โดยใช้ชุดความคิด  อย่างหลากหลาย ทั้งใช้จิตวิทยามวลชน ใช้วาทะกรรมโวหารในการปราศรัย ใช้การสร้างแฟนคลับ ใช้การวิเคราะห์-ตีความเอาเองจากข่าววงใน และสถานการณ์  มีการใช้ทฤษฎีแบบคานธีบ้าง มีการใช้ชุดคำพูดแบบฝ่ายปฏิวัติบ้าง  ส่งผลเสียต่อการประเมินการต่อสู้ผิดบ่อยๆ

จนนำไปสู่การประเมินมวลชนสูงเกินไป และ มองศัตรูต่ำกว่าความเป็นจริง  จึงกำหนดชุดความคิดแบบเอาชนะเด็ดขาดโดยวิธีการ  “สุ่มเสี่ยงเอียงซ้าย”  ในที่สุดท้ายก็นำไปสู่ความพ่ายแพ้บาดเจ็บล้มตายของมวลชน


ปัจจุบัน ชุดความคิดฝ่ายปฏิรูปยังอยู่ในระบบคิดของแกนนำ นักวิชาการและนักกิจกรรมเป็นส่วนใหญ่  และบางส่วนยังได้แกว่งไกวเหวี่ยงไปอีกขั้วอย่างสุดโต่ง คือ “ฉวยโอกาสเอียงขวา”


ฝ่ายปฏิรูปจะไม่นำเสนอ “หลักประกันชัยชนะ และหลักประกันผลพวงชัยชนะว่าจะเป็นของประชาชนได้หรือไม่? อย่างไร?”
ชุดความคิดปฏิรูปยังคงอยู่อีกนาน ถ้าฝ่ายปฏิรูปมองข้าม หรือไม่มีการสรุปบทเรียนการต่อสู้ ไม่มีอะไรที่จะถอดถอนเป็นบทเรียนให้สังคม มีแต่ก้มหน้าก้มตากราบลุยไปข้างหน้าดุ่มๆ เช่นนี้ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการพามวลชนไปสู่ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่


แม้ชุดความคิดฝ่ายปฏิรูปเหล่านี้  มีที่มาจากชนชั้นนายทุน ปัญญาชนนายทุนน้อยก็ตาม  แต่ก็มีชุดความคิดจำนวนไม่น้อยที่มาจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่แปลงโฉมใหม่  ซึ่งชุดความคิดเหล่านี้แม้จะไม่ถูกต้องสมบูรณ์ในตัวมันเอง  แต่ก็มีบทบาทกวนน้ำให้ขุ่น ทำให้เห็นตัวตนของศัตรู เป้าหมาย แนวทางฯลฯ อย่างลางเลือน

เพราะชุดความคิดฝ่ายปฏิรูปทั้งหมดก็มีความแข็งแกร่งในฐานรากแห่งธาตุแท้ที่มุ่งปกปักษ์รักษาระบบกรรมสิทธิ์และการกดขี่ขูดรีดของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐไว้อย่างเหนียวแน่นคงทน 

แต่ทว่า ปลายทางของชุดความคิดเหล่านี้ จะถูกบีบบังคับให้เลือกข้างใดข้างหนึ่ง ว่าจะไปขั้วของชนชั้นผูกขาดกดขี่ขูดรีดแบบสุดโต่ง  หรือจะเลือกข้างชนชั้นที่เป็นฝ่ายสูญเสียมาตลอดกาล
ไม่มีทางเลือกที่สาม ในสงครามทางชนชั้น

« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 03:00:39 PM »
๓.กลุ่มชุดความคิดฝ่ายปฏิวัติ
ชุดความคิดของฝ่ายปฏิวัติในประเทศไทย ได้ก่อตัวจากจุดเล็กๆ ของนักลัทธิมาร์กซ ชาวจีนและชาวเวียดนาม ที่เข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทย ราว พ.ศ. ๒๔๗๑  ต่อมา มีคนไทยบางกลุ่มได้เรียนรู้จากต่างประเทศ  และบางกลุ่มเรียนรู้จากชาวจีนและชาวเวียดนาม จึงได้ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนของนักปฏิวัติที่มีชุดความคิด “ลัทธิมาร์กซ”ขึ้น
มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์สยาม พรรคคอมมิวนิสต์ไทย และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  ขบวนการคนเสื้อแดงแบบแนวทางปฏิวัติ และพรรคประชาธิปไตยประชาชน ตามลำดับ

๓.๑ ชุดความคิดปฏิวัติเพื่อช่วยประเทศแม่ ได้แก่ชุดความคิดนักลัทธิมาร์กซที่มีการเผยแพร่ขยายไปในหมู่ชาวจีน และชาวเวียดนามในไทย เพื่อรวบรวมคน เงิน วัตถุสิ่งของไปหนุนช่วยการปฏิวัติปลดปล่อยในประเทศตน ปัจจุบันทั้งจีนและเวียดนามได้มีการปลดปล่อยจากการมีชัยชนะของนักปฏิวัติในแต่ละประเทศแล้ว

๓.๒ ชุดความคิดพรรคคอมมิวนิสต์สยาม เป็นชุดความคิดที่จะสร้างขบวนปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพสากล มีสาขาในประเทศไทย และเป็นการเชื่อมชุดความคิดปฏิวัติให้แก่คนไทย จนมีคนไทยคนแรกที่มีชุดความคิดแบบปฏิวัติ คือ นายสวัสดิ์ ผิวขาว ชาวหนองคาย

๓.๓ ชุดความคิดปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๕ ซึ่งชุดความคิดนี้ ได้ยึดระบบคิดของลัทธิมาร์กซ-เลนิน และต่อมาเพิ่ม ความคิดเหมาเจ๋อตง สำหรับใช้เป็นระบบคิด 
หลังจากเพลี่ยงพล้ำทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการต่อสู้ในชนบท  ชุดความคิดในสายนี้ ได้มีวิวัฒนาการต่อมา  และแยกออกไป อีกหลายชุดความคิด  เช่น ชุดความคิดยอมจำนน และยุติไม่ใช้ชุดความคิดของลัทธิมาร์กซอีกต่อไป บางส่วนยืนยันในลักธิมาร์กซ-เลนิน ส่วนความคิดเหมาเจ๋อตงเลือกใช้อย่างวิพากษ์ เป็นต้น
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 03:05:48 PM »
๓.๔ ชุดความคิดปฏิวัติยุคใหม่ เป็นชุดความคิดที่กำลังมีการศึกษาค้นคว้าและวิจัยต่อองค์ความรู้ทั้งปรัชญา ประวัติศาสตร์ บทเรียนการต่อสู้ของขบวนการต่างๆ ทฤษฎีเดิมต่างๆ และข้อวิจารณ์ ข้อหักล้าง ข้อที่คงไว้ และข้อที่ค้นพบใหม่ ผนวกกับข้อมูล สถิติ จากอดีตถึงปัจจุบัน เพื่อระบุเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์และสังคมที่สะท้อนถึงการเคลื่อนตัวของชนชั้นต่างๆ ทั้งปริมาณและคุณภาพ  ระบุจุดเปลี่ยนคุณภาพหรือหลักหมุดการเคลื่อนที่ได้  เพื่อใช้ “สังเคราะห์องค์ความรู้ขึ้นมาใหม่ให้ตรงกับความเป็นจริงที่สุด” 


ทั้งนี้ เพื่อระบุ “ตัวปัญหา”ของสังคมไทย ที่มีลักษณะร่วม มีลักษณะพื้นฐาน แผ่ซ่าน สัมพันธ์ยึดโยงตัวเหตุปัจจัยอื่นๆ ได้อย่างเที่ยงตรงที่สุด บ่งชี้คุณภาพตัวตนของสังคมได้แม่นยำที่สุด  อันสามารถระบุ “คู่กรณีหลัก”ที่ขัดแย้งกัน ฝ่ายใดกำหนดฝ่ายใด ฝ่ายใดขึ้นต่อและเป็นรองในมิติการวิเคราะห์สังคมที่ครบถ้วนเป็นองค์เอกภาพทั้ง เศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรม  โดยมีจุดยืน ทัศนะ แนวมองต่อสังคมแบบเป็นวิทยาศาสตร์ 

สังคมเป็นวัตถุชนิดหนึ่งที่สามารถรับรู้กฎแห่งการเคลื่อนที่ของความขัดแย้งได้ สามารถคาดคะเนการเคลื่อนที่ได้จากองค์ประกอบความสัมพันธ์การต่อสู้ทางชนชั้น

ฉะนั้น ตัวปัญหาของสังคม จึงไม่ใช่การคิดเอาเอง ไม่ใช่การใช้วาทะกรรม หรือการตะครุบเอาปรากฏการณ์อันใดอันหนึ่ง เพื่อมาสวมใส่กับ “วาทะกรรม”ตามใจชอบ

และแน่นอนว่า ชุดความคิดของฝ่ายปฏิวัติ จึงเปรียบได้กับพิมพ์เขียวของการปฏิวัติ ที่ประกอบด้วยความสมบูรณ์ทางทฤษฎี ข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอ  และต้องระบุถึง “จุดยืน-ทัศนะ-แนวมอง” เพื่อชนชั้นใด? มุ่งเอาชัยชนะต่ออะไร?  ใครคือมิตร ใครคือศัตรู?ใครคือตัวตนของเรา? เป้าประสงค์ต่อชัยชนะคืออะไร? เพื่อบรรลุอะไร? ด้วยยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ขั้นตอน-ภารกิจและเครื่องมืออะไร? 
เงื่อนไขแห่งสถานการณ์ปฏิวัติ และการเคลื่อนที่ของประชาชนในการเอาชนะเด็ดขาด ถาวร และมีหลักประกันนั้น จะเกิดขึ้นในเงื่อนไขใด? ด้วยรูปแบบ ขนาด และวิธีการใด?


เหล่านี้ คือชุดความคิดพื้นฐานของฝ่ายปฏิวัติ ที่ถือว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมมิใช่เกิดขึ้นเองตามยถากรรม หรือวาทะกรรม หากเป็นการเคลื่อนที่ของสังคมทั้งสังคมอย่างมีแผนงาน มีโครงการ เป็นฝ่ายกำหนดการกระทำ 

ด้วยจิตสำนึกตระหนักรู้ต่อสถานะของชนชั้นตนเอง  และรู้ภารกิจของตนเองที่ต้องเข้าร่วมในขบวนการปลดปล่อยพันธนาการจากชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

ชุดความคิดแบบปฏิวัติ  จักได้รับการขานรับจากมวลชนเพราะ ชุดความคิดนี้มีที่มาจากจุดยืนเพื่อชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีด เพื่อใช้ต่อสู้ให้มวลชนหลุดพ้นจากความยากจนและลำเค็ญ มิใช่ชุดความคิดที่ไปรักษาการกดขี่ขูดรีดเอาไว้แต่อย่างใด


ดังนั้น ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มี “ชุดความคิด”ที่เขามาต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงฐานะนำอย่างมากมายหลายชุด  และแต่ละขบวนการเคลื่อนไหวก็มีความอิสระต่อกันอย่างโดดเด่นขึ้นทุกขณะ  ฝ่ายปฏิวัติจึงต้องถือเอา “โครงการการต่อสู้ทางความคิด-ทฤษฎีที่ถูกต้อง” เป็นแนวรบหนึ่งที่สำคัญยิ่ง
นักปฏิวัติจะใช้ชุดความคิดที่ถูกต้องนี้ ไปวิพากษ์ วิจารณ์ หักล้างชุดความคิดที่ผิดพลาด โลเล คลุมเครือ  และระบบคิดที่ไม่รับใช้ประชาชนให้หมดบทบาทลงไปให้สิ้นเชิง  
แล้วแทนที่ด้วยอธิบายขยาย “ชุดความคิด”ปฏิวัติที่สุด  เด็ดเดี่ยวที่สุด  แหลมคมที่สุด ในการใช้ขับเคลื่อนการต่อสู้ทางชนชั้น ทั้งทางการเมือง และสร้างสรรค์เศรษฐกิจเพื่อประชาชนให้บรรลุผลต่อไป.


No comments:

Post a Comment

Note: only a member of this blog may post a comment.