มาตรการที่เหมาะสมในการกำจัด “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”คืออะไร? โทษขั้นเบาคืออะไร? โทษขั้นหนักคืออะไร? ในเงื่อนไขสถานการณ์ใดบ้าง ที่จะทำให้จังหวะก้าวในการกำจัด”ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”นั้น แล้ว ได้ผลดีทางการเมือง-ได้ผลดีต่อขบวนปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชนไทย
ลักษณะทั่วไปของปฏิปักษ์ปฏิวัติ คือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อขัดขวาง กดทับ ต่อต้าน ต่อสู้ มุ่งทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติ มีลักษณะเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ไม่ประนีประนอมอ่อนข้อให้กับการปฏิวัติ
ปฏิปักษ์ปฏิวัติ หมายถึงคน กลุ่มคน ชนชั้น พรรคการเมือง องค์กรที่เป็นปฏิกิริยา โดยได้มีปฏิบัติการที่มุ่งทำลายการปฏิวัติ ต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งมีเนื้อหาและรูปแบบแสดงออกต่างๆ เช่น ต้านระบบคิดปฏิวัติ ทำลายบุคคล ทำลายนักปฏิวัติ ทำลายขบวนการ ทำลายการจัดตั้งหรือองค์กรปฏิวัติ ทำลายปฏิบัติการที่ปฏิวัติ ทำลายทรัพย์สิน และดอกผลชัยชนะต่างๆ ของประชาชนหรือการปฏิวัติ
ดังนั้น ปฏิปักษ์ปฏิวัติ จึงมีที่มา มีองค์ประกอบ มีวัตถุประสงค์ มีเครื่องมือ มีวิธีการต่างๆ เพื่อทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติ มีปลายทางสูงสุดคือทำลายการปฏิวัติให้สิ้นไปอย่างไม่อ่อนข้อไม่ประนีประนอม ซึ่งฝ่ายปฏิวัติจะต้องกำจัดปฏิปักษ์ปฏิวัติด้วยความเข้าใจเห็นชัดเจนในกฎเกณฑ์ ธาตุแท้ และเป้าหมายของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติ และจำต้องกำจัดกวาดล้างอย่างเด็ดขาดไม่ประนีประนอมเช่นกัน
“ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”มีพื้นฐานมาจาก ๒ ทิศทาง คือ
๑. นอกขบวนการปฏิวัติ
๒. ภายในขบวนการปฏิวัติ
๑. ปฏิปักษ์ปฏิวัตินอกขบวนปฏิวัติ มี ๒ ลักษณะ คือ
ลักษณะกลไกดั้งเดิม และกลไกที่สร้างขึ้นใหม่
๑.๑ ลักษณะกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติดั้งเดิม หรือลักษณะพื้นฐานจากรากเหง้าคู่ขัดแย้งในสังคมเดิม ที่ชนชั้นหนึ่งครอบงำชนชั้นอื่น มีอำนาจอิทธิพลเหนือชนชั้นอื่นๆ ในสังคมนั้น ซึ่งถือเป็นฝ่ายที่มีอิทธิพลหลักในคู่ขัดแย้งพื้นฐานที่เป็นปฏิปักษ์กัน เช่น สังคมทาสที่มีนายทาสกับทาสเป็นคู่ขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน สังคมทุนนิยมที่มีทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐและจักรวรรดินิยมอเมริกาครอบงำ ที่ชนชั้นสูงเป็นปฏิปักษ์กับประชาชน
ในปัจจุบัน ขบวนปฏิปักษ์ปฏิวัติที่อยู่นอกขบวนปฏิวัติไทย ที่เป็น “ขบวนหลัก” ยังคงเป็น “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ส่วน “ขบวนรอง”ภายในประเทศ ยังคงเป็นขบวนการระบบคิดย่อย หรือลัทธิย่อยชนิดต่างๆ ของชนชั้น-ชั้นชน-กลุ่ม-บุคคล-ที่มาจากนายทุนชาติ นายทุนน้อย ปัญญาชน ขุนนาง ขุนศึก นักสอนศีลธรรมเพื่อชนชั้นสูง ฯลฯ
ส่วนปฏิปักษ์ปฏิวัติที่มาจากนอกประเทศ ที่เป็นหลัก ยังคงเป็น “อิทธิพลจักรวรรดินิยมอเมริกา” ซึ่งมียุทธศาสตร์กอบโกยทรัพยกร และแทรกแซงการเมืองการปกครองประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนายข้ามชาติในสหรัฐอเมริกาป็นหลัก ซึ่งปัจจุบัน “สหรัฐอเมริกา”ได้จัดตั้งบุคคล เชื่อมต่อขบวนการต่อสู้ทางการเมืองไทย ทั้งฝ่ายอนุรักษ์ ปฏิรูป และแฝงมาในกลุ่มประชาชนก้าวหน้า ภายใต้เสื้อคลุม “เปลี่ยนระบอบ” และ “ประชาธิปไตยทุนเสรี”และ “สิทธิมนุษยชน” เพื่อช่วงชิงและฉวยโอกาสแปรชัยชนะของฝ่ายใดก็ตาม ให้ไปสู่ผลประโยชน์หลักของจักรวรรดินิยมอเมริกาในไทยและภูมิภาคเอเชีย
ฉะนั้น กลไกเครือข่ายของ “ชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่มีอิทธิพลอเมริกาครอบงำ” จึงเป็น “ปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ” ที่อยู่นอกขบวนปฏิวัติ ที่มีการจัดตั้ง มีบุคลากร พร้อมที่จะทำลายลายล้างฝ่ายปฏิวัติทันที ซึ่งฝ่ายปฏิวัติจะต้องต่อสู้กับกลไกดั้งเดิมของฝ่ายปฏิปักษ์นี้ไปตลอดระยะเวลา จนกว่า “ฝ่ายปฏิวัติ”จะชนะเด็ดขาด สามารถสร้างสังคมที่มีคุณภาพและลักษณะใหม่ขึ้นแทนที่ได้สำเร็จแล้ว
๑.๒ ลักษณะกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติที่ศัตรูสร้างขึ้นใหม่ อันเป็นไปตามยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่ศัตรูต้องการเอาชนะฝ่ายปฏิวัติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และรูปการณ์จิตสำนึก ตามการขยายตัวและยกระดับความแข็งแกร่งของฝ่ายปฏิวัติ หรือสร้างกลไกปฏิปักษ์ใหม่ๆ เพื่อเสริมกลไกเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น พรรคการเมือง องค์กรอิสระ กลุ่มมวลชนปฏิกิริยา หน่วยรบพิเศษชนิดต่างๆ เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติทางเศรษฐกิจ ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ เพื่อชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากประชาชน เช่น ก่อตั้งเขตเศรษฐกิจชนชั้นทุนผูกขาด จัดตั้งองค์กรส่งเสริมทุนผูกขาด การเปิดแปลงผูกขาดสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ การเปิดเขตผูกขาดเศรษฐกิจ การขยายการลงทุนแบบผูกขาด ฯลฯ
กลไกปฏิปักษ์ต่อต้านจิตสำนึกการปฏิวัติ และต่อต้านการสร้างองค์กรปฏิวัติ ได้แก่ สื่อชนิดต่างๆ เช่น เอเอสทีวี บลูสกาย หน่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ชนชั้นสูง หน่วยต่อต้านข่าวกรอง พิธีกร โฆษก นักสอนศาสนา ครู อาจารย์ เอ็นจีโอ นักวิชาการ ฯลฯ ที่ต่างออกมาทำหน้าที่เบี่ยงเบนการต่อสู้ปฏิวัติ ทั้งต่อต้านระบบคิด ปลูกฝังความเชื่องมงาย รวมถึงการหลอกลวงในเกมการเมืองเฉพาะหน้าต่างๆ ต่อต้านกิจกรรม “ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ให้ลดเหลือแค่ “เรียกร้อง ขอร้อง ก่นด่า คร่ำครวญ” ลดระดับการต่อสู้ ลดคำขวัญ ลดเข็มมุ่ง ลดแนวรบด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มิให้เห็นการต่อสู้ทางชนชั้นให้ครบทุกด้าน หรือแยกส่วนให้เบี่ยงเบนไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อยุทธศาสตร์เฉพาะหน้าของชนชั้นอื่น
ไม่สร้างนักปฏิวัติที่มองเห็นองค์รวมทางชนชั้นทั้งระบบ ต่อต้านการรวมตัวจัดตั้งของมวลชน สลายวินัยกลุ่มก้อนฝ่ายประชาชน มุ่งสลายระบบคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ มิให้ประชาชนมองเห็นศัตรูหลัก แนวทาง หนทาง และปลายทางต่อสู้ ที่แท้จริง หรือ ให้มองเห็นด้านเดียวของ “มิตร”หรือ “แนวร่วม” ไม่ให้เห็น “ทวิลักษณะ”ที่แนวร่วมมีทั้ง “จังหวะก้าวและระบบคิดที่ถูกและผิด” เพื่อลดทอนสติปัญญาของประชาชนในการวินิจฉัย “จังหวะก้าว” ที่จะร่วมส่วนต่อสู้แบบเสมอภาค เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติภายนอกขบวนการที่มีมาแต่เดิม กับกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติที่ศัตรูสร้างขึ้นใหม่นี้ จะมีพลังต่อสู้ เพื่อทำลายล้างขบวนปฏิวัติเพิ่มขึ้นหรือไม่ นั้น ย่อมขึ้นกับพัฒนาการด้านความเข้มแข็งของขบวนปฏิวัติเอง ว่าอยู่ในขั้นใด เป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นสูงหรือไม่ เป็นต้น
ในระยะก่อตัว “ตั้งไข่” ของฝ่ายปฏิวัติ ไปจนถึงการมีขบวนการ และการลุกขึ้นสู้นั้น จะถูกฝ่ายปฏิปักษ์เข้าทำลายล้างไปตลอดสายทางการต่อสู้ ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติบางหน่วยมีลักษณะชั่วคราว เกิดขึ้นเฉพาะกิจ ฝ่ายปฏิปักษ์บางหน่วยมีลักษณะถาวร เพราะมีภาระกิจกำจัดทำลายฝ่ายปฏิวัติตลอดช่วงระยะเวลาแห่งการต่อสู้
ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติถือการทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติแบบเด็ดขาดไม่ประนีประนอมด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ เช่น ใช้ระบบคิดแบบปฏิกิริยาทำลายระบบคิดที่ปฏิวัติ ใช้คนทำลายคน ใช้องค์กรทำลายองค์กร ใช้กองทัพปฏิกิริยาทำลายกองทัพประชาชนที่ปฏิวัติ ทำลายการนำ ทำลายองค์กรนำ ทำลายการสื่อสาร ทำลายมวลชนที่ปฏิวัติ เป็นต้น
ในระยะที่ฝ่ายปฏิวัติเริ่มสร้างเอกภาพทางความคิดในขบวนการปฏิวัติ ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติก็จะทุ่มโถมบุคลากรและองค์กรปฏิปักษ์เข้าทำลายระบบคิด และเมื่อขบวนปฏิวัติเริ่มมีบุคลากร เข้าร่วมการจัดตั้งเป็นขบวนการปฏิวัติ มีพรรคปฏิวัติ มีกองทัพประชาชน มีมวลชนปฏิวัติ มีแนวร่วมปฏิวัติ ฯลฯ แล้ว ระดับการต่อต้านทำลายล้างของศัตรูก็จะมีพัฒนาการ ดุเดือดเข้มข้นเพิ่มขึ้น พวกเขาจะระดมกำลังคน และเครื่องมือเข้าเกาะติดทำลายฝ่ายปฏิวัติในทุกแนวรบ ในทุกแนวจัดตั้ง อย่างกระชั้นชิดมากขึ้นเช่นกัน
๒.๒ ปฏิปักษ์ปฏิวัติภายในขบวนปฏิวัติ
เมื่อขบวนปฏิวัติเติบใหญ่ขยายตัวไป มีนักปฏิวัติ มวลชน ผู้ปฏิบัติงาน ผู้นำและสมาชิกปฏิวัติเข้าร่วมจำนวนมาก การต่อสู้ของประชาชนที่พัฒนาเริ่มจากจิตสำนึกรักความเป็นธรรม แล้วยกระดับเข้าสู่จิตสำนึกทางการเมือง และพัฒนาสูงขึ้นไปสู่จิตสำนึกการต่อสู้ทางชนชั้นนั้น นักปฏิวัติย่อมมีประสบการณ์และบทเรียนที่แลกมาด้วยเลือดชีวิต และน้ำตา ผ่านความพ่ายแพ้และผ่านความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า
ท่ามกลางการต่อสู้ทางความคิด สถานการณ์ที่บีบคั้นจากการล้อมปราบเข่นฆ่า และการหลอกลวงของฝ่ายศัตรูอย่างหนักหน่วงเหล่านี้ ด้านหนึ่งคือเบ้าหลอมนักปฏิวัติให้แข็งแกร่งยืนหยัดกล้าต่อสู้กล้าเอาชนะ เด็ดเดี่ยวเชี่ยวชาญขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏสภาวะที่หดหู่ ท้อถอย และเสื่อมทราม ของนักปฏิวัติ ในที่สุดก็กลายสภาพเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ที่หลุดออกไปจากขบวนแถวของการปฏิวัติ ไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูได้
ขณะเดียวกัน ภายในขบวนปฏิวัติก็จะเกิดมีกลุ่มฝ่ายของพวกปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างหลากหลายเช่นกัน เช่น เกิดพวกฉวยโอกาส พวกเย่อหยิ่งทนงตนพวกลัทธิแก้(แก้หลักการพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ-เลนิน) เกิดพวกลัทธิย่อย เช่น ลัทธิขุนนาง ลัทธิขุนศึก ลัทธิวีรบุรุษ ลัทธิแล้วแต่เจ้ากรรมนายเวร ลัทธิสับสนปนเป(เคออส) ลัทธิประชาสงเคราะห์ ฯลฯ
ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติอันเกิดจาก “สนิมเนื้อในเหล็ก” นี้ มีรากเหง้ามาจาก
๑.การศึกษาทฤษฎีที่ไม่เพียงพอ
๒.ขาดจุดยืนทางชนชั้นที่มั่นคง
ปฏิปักษ์ปฏิวัติในขบวนปฏิวัติ ที่มีสาเหตุจากการไม่ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจในทฤษฎีปฏิวัติ ไม่เข้าใจหลักปรัชญาของลัทธิมาร์กซ ฯลฯ ไม่กุมหลักปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ ในการมองโลก รับรู้โลกและอธิบายโลก และไม่ใช้วิภาษวิธีไปแก้ไขปัญหา ไปดัดแปลงโลก ไม่แจ่มชัดในทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้น และไม่สามารถประสานทฤษฎีที่เป็นกฎทั่วไปกับลักษณะเฉพาะได้ ไม่สามารถวิเคราะห์สังคมตามจุดยืน ทัศนะ และมรรควิธีของลัทธิมาร์กซ เป็นต้น
ปฏิปักษ์ปฏิวัติในขบวนปฏิวัติที่มีสาเหตุจากจุดยืนทางชนชั้น หรือไม่ยืนบนผลประโยชน์ของประชาชน ไม่เข้าใจต่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าและระยะยาวไกลของชนชั้นกรรมาชีพนั้นเป็นอย่างไร ขาดอุดมการณ์การต่อสู้ทางชนชั้นเพราะไม่เข้าใจระยะผ่านจากสงครามชนชั้นสู่การสลายชนชั้นในที่สุด แต่กลับเอาระบบคิด หรือ อุดมการณ์ชนชั้นอื่นมาเป็นจุดยืนในการดำเนินชีวิต เช่น ใช้จุดยืนแบบประชาธิปไตยปวงชนบ้าง มนุยธรรมบ้าง สิทธิมนุษยชน หรือศีลธรรมที่ปราศจากชนชั้นบ้าง ซึ่งล้วนขาดจุดยืนทางชนชั้น
นอกจากนี้ การไร้จุดยืนเพื่อประชาชนยังมาจากสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น ไม่อาจทนทุกข์ทรมานจากความยากลำบากของการปฏิวัติ ถูกศัตรูจับกุมคุมขัง ถูกบังคับข่มขู่ ทรมาน ได้รับสินจ้างรางวัลจากศัตรู การมีผลประโยชน์ร่วมในระบอบกดขี่ขูดรีด หรืออาจเกิดจากหลายสาเหตุดังกล่าวรวมกัน
อย่างไรก็ตาม ลักษณะทั่วไปของปฏิปักษ์ปฏิวัติไทยตามที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น ก็อยู่ภายในบริบทตามกฏเกณฑ์ที่ว่า “สรรพสิ่ง ในจักรวาลมีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ พัฒนาและวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติแบบวัตถุนิยมวิภาษวิธี”
ฉะนั้น เมื่อสังคมมี “ขบวนปฏิวัติ”ก็มีด้านตรงข้ามคือ “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”นั่นเอง
ตามหลักวิภาษวิธีนั้น สิ่งเก่าที่เป็นด้านหลักของคู่ขัดแย้งอยู่แต่เดิม(Thesis) เช่น ชนชั้นผู้ปกครองต่างๆและสมุนบริวารที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ จะถูกคุ่ขัดแย้งด้านรองหรือด้านตรงกันข้าม(ฝ่ายปฏิวัติ)เข้ามาโต้แย้ง(Antithesis) ในที่สุดจะเกิดสิ่งใหม่(Synthesis) คือ “สังคมใหม่” ที่เกิดหลังจากฝ่ายปฏิวัติเอาชนะฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติได้แล้ว
สำหรับประเทศไทยที่มีฝ่ายอนุรักษ์ครอบงำและมีอำนาจล้าหลังมานาน จนเกิดมีขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชนไทยเกิดขึ้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงได้กลายเป็นฝ่ายปฏิกิริยาต่อต้านการปฏิวัติไทยยุคใหม่ และฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็คือปฏิปักษ์ปฏิวัติโดยพื้นฐานของความขัดแย้งกับประชาชนไทยนั่นเอง
กฏความขัดแย้งนี้ จะสิ้นสุดลงจนกว่าฝ่ายปฏิวัติจะมีชัยชนะเด็ดขาด สามารถสลายคุณภาพที่เป็นสมบัติหลักเดิมของฝ่ายศัตรูลงอย่างสิ้นเชิง จนเกิดสิ่งใหม่ที่มีคุณภาพใหม่ สังคมใหม่ เหล่านี้คือลักษณะทั่วไป
ส่วนลักษณะเฉพาะของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติไทยยุคปัจจุบัน คือมีลักษณะที่สลับซับซ้อนมากกว่าสังคมอื่น มากกว่ายุคสมัยของคาลมาร์กซ ที่ให้กำเนิดแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อ ๑๖๐ ปีก่อน มีความยุ่งยากซับซ้อนในการต่อสู้ปฏิวัติมากกว่าสมัยการปฏิวัติในโซเวียตรัสเซียยุคเลนิน และการปฏิวัติจีนยุคเหมาเจ๋อตงอย่างมาก
ทั้งนี้ เป็นเพราะสังคมไทยอยู่ในยุคสมัยที่สังคมโลกมีลักษณะเป็นทุนผูกขาดโลกาภิวัตน์ขั้นเก็งกำไร และสังคมไทยเองก็มีพหุลักษณะภายใต้ “สังคมทุนนิยมที่มีทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐและจักรวรรดินิยมอเมริกาครอบงำ” ซึ่งมีสังคมย่อยต่างๆ หลากหลายซ้อนทับกันในสังคมใหญ่อีกด้วย
สังคมเก่าและสังคมใหม่มีลักษณะสบสนปนเป ทั้งระบบคิด ระบบทำมาหากิน อุดมการณ์ และกิจกรรมการเมือง สังคมที่มีส่วนประกอบทางชนชั้น ชั้นชนต่างๆ ในลักษณะของทาส ไพร่ เสรีชน ทุนเสรี ทุนผูกขาด ขุนนาง ขุนศึกศักดินา นายจ้างลูกจ้าง สังคมนิยม สหกรณ์ รัฐสวัสดิการ ทุนผูกขาด และมีระบบคิดแบบโลกาภิวัตน์ ระบบคิดงมงายแบบภูติผีปีศาจ หมอดู ไสยศาสตร์ มายาคติที่กลัวคอมมิวนิสต์ กลัวชนชั้นกรรมาชีพ ความพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์ ภาพหลอนสงครามและการต่อสู้ในจีน ในเขมร ฯลฯ รวมอยู่ในสังคมเดียวกัน ยุคเดียวกัน ซ้อนทับกันอย่างยุ่งเหยิง จนไม่อาจจะอธิบายต่อสาธารณะได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีหลักลัทธิมาร์กซ-เลนิน
ประชาชนในสังคมไทย ชนชั้นปกครองไทย และขบวนการปฏิวัติไทยดำรงอยู่ในภววิสัยทางสังคมที่ซับซ้อนมาก จนยากที่จะคลี่ขยายความสัมพันธ์ระหว่างคนในชนชั้นและชั้นชนในมิติการเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ และรูปการจิตสำนึก ให้ประชาชนมองเห็นการกดขี่ขูดรีดได้ง่ายๆ
ในขบวนปฏิวัติไทย สมาชิกไม่ได้ลอยลงมาจากฟากฟ้าแบบเพ้อฝัน หากมาจากผู้ทุกข์ยากและเห็นสัจจะทางสังคมในระดับพื้นฐานทางชนชั้นแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในขบวนการดัดแปลงโลกดัดแปลงตน ทั้งระบบคิดและการปฏิบัติอย่างไม่ขาดสายตลอดชีวิต ฉะนั้น ในภาพใหญ่คือ “เอกภาพทางความคิด เอกภาพและเอกภาพทางจัดตั้ง” แต่ในภาพย่อยๆ ก็ย่อมมี “ความเห็น เจตนารมณ์ ท่าที ท่องทำนองที่แตกต่าง”จำนวนไม่น้อย ซึ่ง สมาชิกนักปฏิวัติไทยยุคใหม่ จึงต้องยึดกุมหลักทั่วไปของลัทธิมาร์กซให้มั่น ประสานอย่างเข้าใจในรูปธรรมใหม่ๆ ด้วย ท่าทีและวิธีการของวิภาษวิธี –วิพากษ์-วิเคราะห์ –สังเคราะห์ และอธิบายต่อประชาชน เพื่อจำแนก “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” และ “ปฏิวัติ” อย่างเหมาะสม มีลักษณะชนชั้น ลักษณะมวลชน ลักษณะสู้รบ อย่างไม่ขาดสาย
เนื่องจาก ประชาชนมองเห็นศัตรู เห็นมิตร และเห็นชนชั้นตนด้วยความยากลำบากยิ่งนัก เช่น ปัญหาของตนอยู่ที่ไหน เกิดปัญหาจากใคร หน่วยงานใด ชนชั้นใดกันแน่ที่สร้างชะตากรรมให้กับคนส่วนใหญ่ อนาคตของแต่ละชนชั้น มีทางออก มีความหวัง ในโครงสร้างสังคมนี้หรือไม่ อย่างไร
ศัตรูของประชาชนทางการเมืองคือใคร ทางเศรษฐกิจคือใคร ความขัดแย้งหลัก ความขัดแย้งรองคือใครกับใคร ชนชั้นใดคือด้านหลักของปัญหาของสังคม ในมิติการทำความเข้าใจฐานะทางชนชั้นนั้น จะถอดระหัสหรือเอากฏเกณฑ์ธาตุธาตุฐานะทางชนชั้น จะเอามาจากหลักเกณฑ์พื้นฐานอะไร
การผลิต การตลาด การบริการ การค้า การเงินการธนาคาร การเก็งกำไรสร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นอย่างไร กดขี่ขูดรีดระหว่างกันอย่างไร มูลค่าแรงงานและมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างไร กรรมาชีพยุคใหม่คือใคร การขูดรีด การเอาเปรียบการเสียเปรียบคืออะไร อยู่ที่กลไกใด
สิ่ง เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ลัทธิมาร์กซที่เป็นหลักทั่วไป เข้าไปประสานกับสถิติ ข้อมูล และความเป็นจริง เพื่อจะอธิบายคลายปมปัญหาความเข้าใจต่อสภาพความขัดแย้งในสังคม เพื่อให้ประชาชนเห็นฐานรากโครงสร้างอันทุกข์ทนของประชาชนยุคใหม่ที่ซับซ้อนนี้ ซึ่งฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติขัดขวางองค์ความรู้ในแนวคิดแบบลัทธิมาร์กซนี้ เช่นกัน
