Friday, 28 August 2015

พม่าเขาไม่เกี่ยวกับการขายก๊าชให้โรงไฟฟ้าไทยหรอกครับ



พม่าเขาไม่เกี่ยวกับการขายก๊าชให้โรงไฟฟ้าไทยหรอกครับ

ที่ไทยต้องไปซื้อก๊าชจากพม่าในราคาแพงมากนั้น คือซี้อจากปตท.สผ ที่ได้รับสัมปานในการขุดก๊าชในพม่า รัฐบาลพม่าเขาไม่ได้รู้เห็นเรื่องนี้หรอกเขาเก็บเอาที่สัมปทานที่ทำสัญญากับเขาเท่านั้น ไอ้คนที่หลอกคนไทยว่าพม่าขายแพงและเป็นต้นเหตุให้ค่าไฟฟ้าที่คนไทยต้องจ่ายในราคาแพง แท้ที่จริงมันก็คือคนไทยที่มีผลประโยชน์ในปตท.สผ นั่นเอง 

เมื่อวันใดที่ประชาชนลุกขึ้นสู้และชนะ คนพวกนี้จะต้องโดนศาลประชาชนตัดสินประหารชีวิตและยึดทรัพย์ พ่อ-แม่-ลูก-เมียพวกมันให้เกลี้ยง สถานเดียว
สงคราม แห่งชนชั้น 28.8.2015

Thursday, 27 August 2015

รู้ทันศัตรู (๗) บัญชีศัตรู

บัญชีศัตรู
โดย  พอน ตาไว
กันยายน  ๒๕๕๗


   จากการล้อมปราบคนเสื้อแดงในการชุมนุมที่ถนนอักษะนั้น คนที่รอดตายจากการชุมนุม ได้ถูกไล่ล่าต่อเนื่องถึงบ้านเรือน มีคนถูกจับถูกสังหารและหลบหนีออกไปจากบ้านเรือนจำนวนมาก
   บทเรียนครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่า ศัตรูประชาชนนั้นได้มีข้อมูลฝ่ายประชาชนเป็นอย่างดี สามารถตามจับกุม ไล่ล่า และสังหารได้ถึงบ้านเรือน บางส่วนถูกเรียกเข้าไปรายงานตัว 


   ทำให้เห็นว่า ศัตรูประชาชนได้จัดทำบัญชีรายชื่อ ที่อยู่ และระบุพฤติกรรมของประชาชนที่จะเป็นอันตรายต่อการดำรงฐานะกดขี่ขูดรีดของพวกเขาได้อย่างแม่นยำ ซึ่งนอกจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะจัดทำบัญชี จัดทำทำภาพถ่ายบุคคล องค์กร ติดตามกิจกรรม ติดตามความสัมพันธ์  ด้วยวิธีการสกดรอย ติดตามสอดแนมประชาชนได้เองแล้ว  ศัตรูยังได้ข้อมูลบุคคลจากการจัดทำบัญชีรายชื่อกำลังคนของฝ่ายคนเสื้อแดงเองอีกด้วย   อันถือเป็นความไร้เดียงสาทางการเมืองของแกนนำปฏิรูปกราบกินอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการจัดทำบัญชีคนเสื้อแดงแบบแยกประเภท ตามภาระกิจที่พวกเขารวมคนไปแลกเงิน  จนกลายเป็นการรวบรวมรายชื่อของประชาชนไปให้ฝ่ายศัตรูเสียเอง หลายครั้ง หลายบัญชี   ซึ่งเป็นบัญชีสำเร็จรูป ที่ระบุยอดจำนวนคนและแบ่งประเภทตามระดับความตื่นตัวของคนเสื้อแดงตามระดับฝีมือและความกล้าหาญที่พร้อมจะลงมือจัดการลงโทษปราบปรามฝ่ายอนุรักษ์ ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อพวกอนุรักษ์อย่างยิ่งอีกด้วย  เช่น บัญชีการ์ด บัญชีคนเสื้อแดงที่ต้องการต่อสู้แบบเข้มข้นแตกหัก ศัตรูได้บัญชีรายชื่อไปแล้วหาภาพบุคคลประกอบรายชื่อ ก็สามารถวางกำลังไปกำจัด กวาดล้าง หรือสังหารได้อย่างง่ายๆ

บัญชีคนเสื้อแดงตามเหตุการณ์สำคัญที่ถูกจัดทำขึ้นโดยฝ่ายปฏิรูป เช่น
   ๑.การจัดทำบัญชีคนเสื้อแดงผ่านกรณีถวายฎีกาเอาทักษิณกลับบ้าน
   ๒.การจัดทำบัญชีผ่านบัตรสมาชิก นปช.
   ๓.การจัดทำบัญชีกองกำลังนักรบฮาร์ดคอร์ของนายแรมโบ้
   ๔.การให้เงินเพื่อซื้อข้อมูลอดีต สมาชิก พคท.
   ๕.การจ่ายเงินเยียวยาพิเศษแก่การ์ด นปช.-ฮาร์ดคอร์ และสมาชิกขอนแก่นโมเดล ผ่านกิจกรรมของเมย์อียู









 การจัดทำบัญชีรายชื่อประชาชนแยกประเภทแล้วเหล่านี้ ได้ตกไปอยู่ในมือศัตรู อย่างจงใจ บางบัญชีถูกส่งให้ศัตรูแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือจะเพราะไร้เดียงสาทางการเมืองก็ตาม  ต่างล้วนส่งผลต่อความเสียหายใหญ่หลวงตามมาอย่างต่อเนื่อง กระแสการต่อสู้ของประชาชนตกต่ำทรุดฮวบลงทันทีทุกพื้นที่ทั่วประเทศ


   ประชาชนจำนวนมากต้องหลบหนีออกจากบ้านเรือนไปต่างประเทศ และบางส่วนก็ซ่อนตัว หนีตาย หนีคดี อย่างทุกข์ทรมาน 
   และมีจำนวนไม่น้อยถูกตามตัวจนพบเจอในที่หลบซ่อนอย่างรวดเร็ว โดยศัตรูได้ใช้เครื่องมือและจากเทคนิควิธีการติดตามบุคคล  เช่น 
   ๑.ติดตามผ่านโทรศัพท์มือถือ/ ผ่านสมาร์ทโฟน ที่ระบุตำแหน่ง GPS 
   ๒.ผ่านการโอนเงิน กดเงินตามตู้เอทีเอ็ม
   ๓.ผ่านญาติ-เพื่อนสนิท-คนในครอบครัว
   ๔.รถยนต์ พาหนะ
   ๕.ผ่าน IPระบุตำแหน่งจากการใช้อินเตอร์เน็ต
   ๖.ผ่านการติดตามสืบเสาะจากเบาะแสพฤติกรรมส่วนตัว เช่น บ้านญาติ เพื่อน แฟน กิ๊ก ที่ทำงาน งานอดิเรก กีฬา งานสังคม ร้านอาหาร ฯลฯ


« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 04:35:56 PM »
อย่างไรก็ตาม ความสูญเสียจากการถูกตามไล่ล่าถึงบ้านเรือนและที่อาศัยชั่วคราวดังกล่าวนี้ ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดง  ได้รับบทเรียนจากการร่วมต่อสู้มาก ทั้งต่อวิธีคิดของตนเองที่หวังพึ่งกลยุทธิ์ของแกนนำปฏิรูปอย่างวางใจ  จนได้รับบทเรียนทั้งตาย ทั้งบาดเจ็บ ที่เหลือก็แทบเอาชีวิตไม่รอด
นอกจากมี “บทเรียน” และรับผลเลวร้ายต่างๆ นานา ทั้งท้อถอย หดหู่ เสียใจ บางคนโกรธแค้นแกนนำแล้ว  ก็ยังมี “คำถาม”ใหม่ๆ  เพื่อตระเตรียมการลุกขึ้นสู้ครั้งต่อไปอีกด้วย  เช่น
   ๑. “ถ้าประชาชนจะเป็นฝ่ายไล่ล่าศัตรูบ้าง จะเป็นไปได้หรือไม่? มีความจำเป็นหรือไม่? อย่างไร? ทำไมจึงต้องยอมเป็นฝ่ายถูกไล่ล่า ถูกจับกุม ติดคุกทรมาน ถูกยิงถึงบ้านเรือน ถูกยิงตามถนนหนทางแต่เพียงฝ่ายเดียว?
   ๒.ประชาชนในท้องถิ่นจำเป็นต้องรู้หรือไม่ว่า ใครคือศัตรูที่อาศัยในท้องถิ่นนี้? มีจำนวนเท่าใด?  มีที่อยู่บ้านเรือนหลับนอนที่ใด?
   ๓. ศัตรูนอกท้องถิ่นสามารถจู่โจมมาทำร้ายประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนนี้ได้หรือไม่? ประชาชนจะคิดมาตรการป้องกันตัว หรือลงมือเข้าจัดการก่อนได้หรือไม่? หรือจะตั้งรับ รอเป็นฝ่ายถูกกระทำ?
   ๔.ประชาชนจำเป็นต้องจัดทำบัญชีศัตรูของประชาชนบ้างหรือไม่? ทำอย่างไร? เพื่อใช้ทำอะไร? จะแยกประเภทความรุนแรงหนักเบากี่ระดับ และมีมาตรการจัดการกับศัตรูแต่ละประเภทอย่างไร? ลำดับขั้นตอนการจัดการ อย่างไร? จังหวะก้าวขั้นตระเตรียม ขั้นลงมือทำงาน และขั้นตอนหลังปฏิบัติงานเป็นอย่างไร?
   ๕.การได้มาซึ่งข้อมูลรายชื่อศัตรู หาได้จากที่ใดบ้าง? ใช้เกณฑ์อะไรแยกมิตร-แยกศัตรู-และประชาชน –จะจำแนกบัญชีบุคคลที่เป็นศัตรูและ บัญชีองค์กร หน่วยงาน สังกัดของศัตรูทางการเมือง เศรษฐกิจผูกขาด วัฒนธรรม จะมีกลไกชื่อหน่วยงานใดบ้าง? หน่วยงานใด มีคนที่โหดร้ายที่สุดอันตรายถึงชีวิตมวลชน หน่วยใดคนใดที่เป็นฝ่ายหนุนช่วยศัตรู เส้นทางสัญจรของศัตรู อาหารเสบียง ธุรกิจ พาหนะของศัตรูมีอะไรบ้าง? หน่วยใดคนใดที่จะแปรเปลี่ยนมาทำร้ายมวลชนได้ในอนาคต? หน่วยใดคนใดที่ชี้เป้าเป็นสายลับ
   ๖.ก่อนการจัดทำบัญชีศัตรู ต้องรู้อะไร? คิดอย่างไร? ทำอย่างไร? ใครจะเป็นผู้ร่วมคิด?ทำร่วมบ้าง? จัดทำตามลำพังคนเดียวได้ไหม? ทำรวมหมู่มีผลดีอย่างไร?  จะรักษาความลับอย่างไร?
   ๗.จะรักษาความปลอดภัยทางบัญชีอย่างไร? จะใช้ประโยชน์อย่างไร? ถ้าจดจำรายชื่อที่อยู่ของศัตรูได้แล้ว และศัตรูมีจำนวนไม่มาก รู้เป้าหมายตรงกันแล้ว ไม่ต้องเก็บบัญชีไว้จะปลอดภัยกว่าหรือไม่?
ถ้าประชาชนได้รับรู้ว่าใครคือศัตรู และประชาชนได้บันทึกในสมอง  สามารถจดจำบันทึกขึ้นบัญชีหนี้เลือดไว้ในจิตสำนึก เก็บเป็นความคับแค้นรอจังหวะล้างบัญชีได้แล้ว ก็ไม่ต้องลงบัญชีในสมุดอีกจะได้หรือไม่?


   ๘.หลักประกันชัยชนะคืออะไร?  จะใช้บัญชีศัตรูเป็นประเด็นริเริ่มชวนกันวิเคราะห์เป้าหมาย-วิเคราะห์สังคมท้องถิ่นร่วมกันจะได้หรือไม่?  
และจะใช้บัญชีศัตรูเป็นเครื่องมือต่อสู้ เพื่อ “เป็นฝ่ายกระทำ” หรือเป็น “ฝ่ายกำหนดเกม”ได้อย่างไร  ?
   ๙.วันเวลาจังหวะก้าวการลุกขึ้นสู้  จัดการล้างบัญชีหนี้เลือดศัตรู ให้พิจารณาดูความพร้อมจากอะไรบ้าง?
   ๑๐.รูปแบบการเคลื่อนกำลังประชาชนเข้าต่อสู้ มีกี่รูปแบบ มีกี่ขนาด มีกี่ภาระกิจ? ใช้กำลังคนแบบไหน? จำนวนอุปกรณ์ และการสนับสนุนก่อน-ระหว่าง-และหลังเสร็จภาระกิจ เป็นอย่างไร?
   ๑๑.การโค่นล้ม กำจัด กวาดล้าง และรักษาการ ต่างกันอย่างไร? มีจังหวะก้าวอย่างไร?
   วิธีการหาข้อมูลศัตรูทำได้หลายวิธี เช่น ระดมสมอง ทำกิจกรรมการกุศลวิ่งผ่านบ้านศัตรูเพื่อชี้เป้า ถ่ายภาพศัตรูที่ปรากฎตัวในงานพิธีหรือกิจกรรมประจำวัน  รวมรวมภาพ-ข้อมูลจากคนที่ทำงานใกล้ชิดศัตรู จากการสัมภาษณ์สอบถามข้อมูลจากคนที่อยู่ในบ้านเรือนศัตรู ค้นหาจากข่าวสารทางสื่อต่างๆ ฯลฯ แล้วรวบรวมบันทึกจัดเก็บไว้ อาจอำพรางปกเอกสารว่า “บัญชีคนดีศรีสังคม” และใช้ชื่อบุคคลโดยย่อ หรือ ใช้ระหัสลับ เป็นต้น

« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 04:38:19 PM »
“บัญชีศัตรู” เป็นเรื่องจำเป็นต้องจัดทำให้รู้ตรงกัน อย่างน้อยก็คือ “การศึกษาศัตรูร่วมกัน”แบบรู้เขารู้เราภาคปฏิบัติ ไม่ดีแต่พูด  ซึ่งเท่ากับเป็นการ“วิเคราะห์สังคมท้องถิ่นร่วมกัน” จะเห็นตรงกันหรือไม่? จะเห็นถึงอันตรายจากศัตรูทุกระดับร่วมกันหรือไม่? มาตราการดำเนินการตระเตรียมเอาชนะจะมีหรือไม่? หรือปล่อยไปตามยถากรรม
   บัญชีศัตรูนี้ จะทำให้ประชาชนเห็นตัวตนของศัตรู เห็นการเคลื่อนไหว และเห็นอันตรายจากศัตรู  ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเป็นฝ่ายกระทำต่อศัตรูทั้งในระยะเตรียมการและวันลุกขึ้นสู้   มิใช่ ไม่รู้ว่าศัตรูคือใคร? อยู่ที่ไหน? ศัตรูจะมุ่งหน้าไปที่ใด?

ไม่ควรเอาแต่รอคอยแกนนำฝ่ายปฏิรูป ที่จะมาเรียกไปชุมนุม ให้ขึ้นรถ แล้วเดินพาหัวไปให้เขายิงทิ้งเปล่าๆ
   สำหรับ การจัดระดับความรุนแรงของศัตรูนั้น โดยทั่วไป มีการระดับจากอันตรายมากไปหาน้อย คือ
๑.สายลับชี้เป้า
๒.ผู้ถืออาวุธ
๓.ผู้บังคับบัญชาศัตรู
๔.กองหนุนต่างๆ
   ศัตรูเหล่านี้ มีทั้งคนที่เป็นศัตรูต่อประชาชนโดยฐานะทางชนชั้นหรือเป็นธาตุแท้ทางชนชั้นที่ดำรงชีพด้วยการกดขี่ขูดรีดคนอื่น ไม่ออกแรงทำมาหากินใดๆ ได้แก่
๑.  สมาชิกในชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ
๒. พวกปฏิกิริยา หรือกลุ่มคนที่แวดล้อมชนชั้นทุนผูกขาดฯ ที่เป็นผู้มีสันดานธาตุแท้เป็นภัยต่อประชาชนโดยจิตสำนึกและการกระทำ ขัดขวางประชาชนอยู่เป็นประจำ
๓.พวกสมัครใจ พวกอาสามัครรับใช้ หวังยศ ตำแหน่ง เงินทอง
๔.พวกทำงานอาชีพในหน่วยกดขี่ขูดรีด ทั้งทำหน้าที่กองหน้า เพื่อเข้าเผชิญหน้ารีดไถ ตบทรัพย์ประชาชน  คอร์รัปชั่น ค้ากำไร รีดดอกเบี้ย รีดค่าเช่า เก็บส่วย สมคบกินสัมปทานผูกขาด ขูดรีดค่าธรรมเนียมจากทรัพย์สินประชาชนเข้าส่วนตัว เก็บเงินกินเปล่าในสังกัดทุนผูกขาด ฯลฯ ซึ่งมีทั้งพนักงานภาครัฐและเอกชน
๕.พวกหลงผิด พวกรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซึ่งอาจเป็นประชาชนที่ยากจน แต่มีจิตสำนึกจุดยืนเพื่อชนชั้นสูง บางคนได้เคยลงมือทำร้ายประชาชนเพื่อชนชั้นสูงมาแล้ว  และรวมถึงผู้มีหนี้เลือดยิงประชาชน ในเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยต่างๆ ด้วย
๖.พวกหลงผิดเมื่อถูกตักเตือนหรือจับกุมได้แล้ว เกิดสำนึกผิด  ซึ่งยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจะกลับใจหรือไม่

  ส่วนมาตรการที่จะแก้ไขปัญหาการเอาชนะอย่างเหมาะสมแต่ละระดับความผิดและผลความเลวร้ายนั้น ประชาชน ในแต่ละท้องถิ่น ต้องพิจารณามาตรการอย่างรวมหมู่และเป็นธรรม
ซึ่งต้องมีการจัดลำดับการต่อสู้จัดการกับศัตรูแต่ละกลุ่มแตกต่างกันไป เช่น อาจลงโทษผู้ที่โหดร้ายทารุณที่มีหนี้เลือดหนี้ชีวิตกับประชาชนก่อน เพื่อกระตุ้นการตื่นตัวและประกาศความชอบธรรมทางการเมืองของฝ่ายปฏิวัติประชาชน
จากนั้นอาจจัดการกับหน่วยเศรษฐกิจของศัตรูก่อน เพื่อทำลายกำลังวังชาทางเศรษฐกิจ เช่น จัดการกับโกดังเก็บเงิน เพื่อมิให้ศัตรูมิเงินไปซื้ออาวุธมาฆ่าประชาชนอีก หรือตัดทิ้งสถานที่ เครื่องมือ ท่อ เส้นทาง พาหนะ บุคลากรด้านขูดรีดเพื่อลดปริมาณเงินกำไรไม่ให้ศัตรูมีเงินมาจ้างคนไปยิงมวลชน  และควบคุมหรือหยุดยั้งผลผลิตและกำไรที่ศัตรูได้ถือครองสัมปทานอยู่นั้นให้สนิท  เพื่อเอาทรัพยากรคืนมาเป็นของประชาชนที่ถูกปล้นชิงไป รวมถึงเอาเส้นทางสายดูดสายลำเลียงความมั่งคั่งไปส่งให้ศัตรู ซึ่งน่าจะต้องรีบหยุดยั้งยึดคืนอย่างไม่ลังเลอีกด้วย
   หรือบางแห่งอาจจัดการกับพาหนะเส้นทางสัญจรของศัตรู จัดการกับอุปกรณ์เครื่องใช้ของศัตรู หรือจะจัดการกับบุคลากรที่เป็นศัตรูประชาชนก่อนเพื่อป้องกันตนเองจากโจร  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปธรรม และแนวงานของท้องถิ่นเอง

ทั้งนี้ มีหลักการง่ายๆ ว่า 
๑.ศัตรูหรือโจรคือโครงสร้างและบุคลากรของทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่มีอิทธิพลอเมริกา ที่มีจำนวนยกชนชั้น มีบุคลากรนับแสนทั่วประเทศ ทุกท้องถิ่น ที่ร่วมทีมกันกดขี่ขูดรีด-รักษา/ถือครองและร่วมใช้อำนาจกระทำทารุณกรรมประชาชน 
มีการกดขี่ทางการเมืองและขูดรีดทางเศรษฐกิจต่อประชาชนทั้งประเทศ ฉะนั้นประชาชนต้องมีชัยชนะเหนือศัตรู หรือหยุดการใช้อำนาจทุกชนิดของศัตรูไว้ได้ทั้งประเทศ ประชาชนจึงจะรอดตาย มีเสรีภาพ อยู่ดีกินดีด้วยมือประชาชนเอง
๒.ประชาชนที่มีความคิดการต่อสู้ทางชนชั้นสามารถออกแบบการเอาชนะได้เอง แบบรวมหมู่ และแปรงานอาชีพ แปรความใกล้ชิดกับศัตรู ทั้งในลักษณะคนทำงานในบ้านศัตรู คนขับรถ คนทำสวน คนเดินสายไฟให้ คนทำอาหารให้ คนรับจ้าง ลูกจ้าง รวมทั้งคนมีอาชีพไฟฟ้า ประปา ก่อสร้าง ทำครัว แพทย์ พยาบาล คนรับจ้าง แท๊กซี่ฯลฯ ต่างล้วนเป็นอาชีพที่ถูกขูดรีดปล้นชิง และเป็นผู้สามารถเป็นอันตรายต่อศัตรูต่อโจรได้ทั้งสิ้น  ถ้าประชาชนเหล่านั้น ติด”อาวุธความรู้ทางชนชั้น” เป็นประชาชนที่มีสำนึกปฏิวัติทางชนชั้น และได้ผ่านระยะ
๑.การสร้างเอกภาพทางความคิด (ผ่านการศึกษารวมหมู่ ผ่านการอ่านหนังสือหรือฟังทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้นมาบ้าง ผ่านประสบการณ์เข้าร่วมชุมนุมมาบ้าง ฯลฯ)
๒. เอกภาพทางการปฏิบัติทำกิจกรรมเผยแพร่ความคิด ทำกิจกรรมสำรวจ จัดทำบัญชีศัตรูฯลฯ
๓. เอกภาพทางการจัดตั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนสุกงอมทางความคิด มีประสบการณ์ หล่อหลอมจุดยืนทางการปฏิบัติแล้ว ก็เข้าสู้ขั้นเข้าร่วมการจัดตั้งของประชาชนฝ่ายปฏิวัติ และเมื่อถึงวันลุกขึ้นสู้ ประชาชน มวลชน แนวร่วม และนักปฏิวัติจะร่วมบริหารจัดการ”ชำระบัญชีกรรม” กำหนดเนื้องาน กำหนดคนทำงาน กำหนดพื้นที่ เพื่อเข้าสู่กลไกของอำนาจประชาชนโดยอัตโนมัติ หรือกล่าวว่า ประชาชนต้องรู้งานที่จะเข้าร่วมทีมหรือเข้าปฏิบัติการได้เอง ทั้ง ๓ ระยะ คือ
๑.ระยะสะสมชัยชนะ(อาจชำระบัญชีกรรมบางกรณีที่จำเป็นแบบปิดลับ) 
๒.ระยะลุกขึ้นสู้ โค่นล้มฉับพลัน และระยะกวาดล้างปฏิปักษ์ปฏิวัติ 
๓.ระยะเปลี่ยนผ่านอำนาจ เพื่อเอาบุคลากรเดิมที่เป็นโจรปฏิกิริยาอนุรักษ์นิยมออกไป แล้วบุคลากรของฝ่ายประชาชนเข้าสวมแทน รักษาการและสร้างสังคมใหม่ต่อไป
การดำเนินการทางบัญชีศัตรูโดยประชาชนนี้ จะเกิดขึ้นได้ จากประชาชนเองที่มีจิตสำนึกปฏิวัติทางชนชั้น มีความรู้ และการจัดตั้ง มีจังหวะก้าวการต่อสู้ เพื่อติดตามล้างบัญชีหนี้เลือดศัตรู โจรร้ายที่กระทำต่อประชาชนมานานหลายร้อยปีให้เสร็จสิ้นไปเสียก่อน  จึงจะก้าวสู่สังคมใหม่ มีอนาคตที่ดี มีหลักประกันชัยชนะอย่างมั่นคง.

ตัวอย่าง บัญชีกรรม (ใช้เป็นแนวคิด แนวอภิปราย แนวทางจัดทำเบื้องต้น)



หมายเหตุ การแบ่งประเภทโจรหรือบุคคล และองค์กรที่เป็นศัตรูของประชาชน ให้ตรงเป้าหมายนั้น  ควรพิจารณาตามหลักทางวิชาการในบทที่ ๔ว่าด้วยกลไกรัฐ  และ ๖ ว่าด้วยปฏิปักษ์ปฏิวัติ  ประกอบด้วย

รู้ทันศัตรู(๖) ปฏิปักษ์ปฏิวัติในสังคมไทย

โดย พอน ตาไว
เมษายน ๒๕๕๗


นับจาก คำประกาศ “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์”ที่จัดพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และได้ประกาศสู่สาธารณชนทั้งโลก  เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ.๑๘๔๘(พ.ศ.๒๓๙๑) นั้น ได้เป็นจุดเริ่มต้นคุณภาพขั้นใหม่ของ “ขบวนการปฏิวัติประชาชน”ของมนุษยชาติ  ที่มีทั้งทฤษฎี และการปฏิบัติ  มีทั้งเจตนารมณ์และการจัดตั้ง  มีทั้งระบบคิดของบุคคลและมีระบบคิดร่วมแบบองค์กร มีนักปฏิวัติและมีพรรคที่ปฏิวัติ  ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมเกิดด้านตรงกันข้ามคือ “ขบวนการปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ที่ยกระดับคุณภาพใหม่ในการต่อต้านทำลายล้างต่อขบวนการปฏิวัติ ทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติทั้งระบบคิด ทฤษฎีและปฏิบัติการ  มีการมุ่งทำลายล้างอุดมการณ์และการจัดตั้ง  ในระดับสากล เช่นเดียวกัน

   สำหรับประเทศไทย ได้มีปฏิบัติการอันเป็น “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” ครั้งแรก โดยนายโรเบิร์ด เกริก เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำราชอาณาจักรไทย แจ้งต่อรัฐบาลไทยว่า “มีชาวจีนในไทยฝักไฝ่บอลเชวิค” ใน พ.ศ.๒๔๖๘(ค.ศ.๑๙๒๕) ซึ่งถือเป็นการกระทำการที่ปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติครั้งแรก รัฐบาลยุคนั้นได้มีการทำลายล้างอุดมการณ์ปฏิวัติโดยสั่งปิดหนังสือพิมพ์จีน ปิดโรงเรียนสอนภาษาจีน และทำลายบุคคลเชื้อสายจีน เวียดนาม และไทยที่เชื่อว่าจะฝักใฝ่บอลเชวิค ก่อนที่จะมีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์สยาม ในปี พ.ศ.๒๔๗๓  และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ.๒๔๘๕

       อย่างไรก็ตาม ขบวนการต่อสู้ของประชาชนชนชั้นกรรมาชีพไทย ก็ได้ต่อสู้ฟันฝ่าการต่อต้านทำลายระบบคิดและการจัดตั้งจากฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติได้ จนผงาดขึ้นมีตัวตน มีองค์กร และมีผลงานการปฏิวัติอย่างไม่ขาดสาย

ปัจจุบัน สังคมไทยได้ผ่านวิวัฒนาการจากสังคมศักดินาที่การเมืองการปกครอง เศรษฐกิจและระบบคิดเป็นแบบศักดินาโบราณ เข้าสู่ยุคสังคมทุนนิยมยกระดับคุณภาพทุนขึ้นตามลำดับ โดยมีชนชั้นศักดินาเดิมที่เคยใช้รูปแบบวิธีการหากินแบบศักดินา มาใช้ทุนนิยมเพิ่มขึ้น  ชนชั้นที่หากินกำไรจากมูลค่าส่วนเกินนั้น ได้ทำการปราบปราม แย่งชิง สถาปนากฎหมาย ยึดครองระบบกรรมสิทธิ์ชนิดต่างๆ ทำกำไรส่วนต่าง จนขึ้นเป็นชนชั้นนำที่มีอำนาจอิทธิพลหลักในสังคม  ซึ่งกลายเป็น “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ในปัจจุบัน  อันเป็นชนชั้นที่กำหนดลักษณะเฉพาะของสังคมไทยเป็น “สังคมทุนนิยมที่มีทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐและจักรวรรดินิยมอเมริกาครอบงำ”นั่นเอง

 สังคมไทยจึงมีความขัดแย้งทางชนชั้นสลับซับซ้อนมาก โดยมีทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐอยู่ในฐานะนำ มีจักรวรรดินิยมอเมริกา และทุนผูกขาดโลกาภิวัฒน์จากภายนอกอยู่ในฐานะรอง ที่เหลือก็มีชนชั้นนายทุนต่างๆ นายทุนชาติ นายทุนน้อย ชนชั้นกลาง ผู้ประกอบการรายย่อย คนงาน คนรับจ้างภาคบริการ ฯลฯ มีชนชั้นกรรมาชีพยุคใหม่ และชั้นชนแบบใหม่ๆ เกิดขึ้น ในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอันสลับซับซ้อนนี้  ซึ่งสังคมไทยมีทุนนิยมเบื้องต้นที่พัฒนาจากทุนเสรีรายย่อย ทุนการค้า ทุนอุตสาหกรรม ทุนการเงิน จนถึงขั้นทุนนิยมสมัยใหม่ที่เป็นทุนผูกขาดเก็งกำไร ซ้ำยังเป็นการผูกขาดเก็งกำไรในแบบโลกาภิวัตน์ ที่ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐได้ประโยชน์สูงสุดมากที่สุดอีกด้วย  


ชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ สามารถบงการทิศทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองให้กระชับการผูกขาดเอาผลประโยชน์จากทุกระบบเศรษฐกิจให้อยู่ในมือของชนชั้นนายทุนที่ร่วมทีมขูดรีดสูบโกยได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างมั่นคง  สามารถต่อรองกำไรและได้ประโยชน์จากทุนข้ามชาติมากกว่าใครในประเทศ  มีฐานะมั่งคั่งระดับชั้นนำหน้าของโลก  สามารถกระชับผูกมัดรัดตรึงครอบกินชนชั้นกรรมาชีพยุคใหม่ไทย ด้วยระบอบกรรมสิทธิ์เอกชนแห่งชนชั้นทุนที่มีเหนือปัจจัยการผลิต เหนือตลาด เหนือสิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ สัมปทาน สัญญาฯลฯ อย่างแยบยล อำพรางแก่นแท้  เข้าควบคุมนโยบายและการบริหารการขูดกิน มีส่วนแบ่งกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างยิ่ง


   เมื่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่พัฒนามาถึงขั้นผูกขาด เก็งกำไรและแบบโลกาภิวัตน์ ที่ดูเหมือนจะทันสมัยสมประโยชน์ดีแก่ชนชั้นทุน และยังครองฐานะนำทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอันดูเหมือนจะมั่นคงนิรันดรถาวรแล้วนั้น   แต่ ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับผลดีร่วมด้วยเพราะถูกกระทำให้เสียเปรียบทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมนั้น ก็เริ่มแข็งขืนต้านยันและชักชวนกันตระเตรียมขยายการลุกขึ้นสู้โค่นล้มอย่างไม่ลดละเช่นกัน
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 03:49:43 PM »
แม้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ ถูกโครงสร้างรูปการณ์จิตสำนึกของ “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ที่ล้าหลัง  ครอบงำความคิดให้ตกอยู่ภายในความเชื่องมงาย ให้สับสนต่อระบบคิดว่าอะไรคือความจริง-ความดี-ความงาม และยังตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ต่ออำนาจและอิทธิพลเหนือรัฐอยู่ก็ตาม

   แต่ประชาชนที่ถูกสูบกินมูลค่าส่วนเกินจากโครงสร้างผูกขาดครอบกินในด้านเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ประชาชนยากจน เป็นหนี้สินล้นพ้นตัว มีความเหลื่อมล้ำมาก จนเกิดแรงต่อต้านชนชั้นสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง  และประชาชนผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากการถูกฆ่า-ถูกขัง ถูกกดขี่ข่มเหงจากโครงสร้างด้านการเมืองการปกครอง ด้วยการทำรัฐประหาร การรุมฆ่าทิ้ง ที่ฆาตกรลอยนวล และการจับกุมคุมขัง ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เริ่มได้เรียนรู้การต่อสู้ทางชนชั้นในสังคมไทยผ่านประสบการณ์ตรงอีกด้วย


เมื่อเป็นเช่นนี้ ชนชั้นสูงกับชนชั้นล่าง ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างกันอย่างชัดเจน  ทำให้ สังคมไทยมีปมความขัดแย้งที่ไม่อาจประนีประนอมกันได้ ไม่สามารถตกลง ไม่สามารถต่อรอง เจรจา แก้ไขสะสางปัญหาได้ เพราะโครงสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นพิษภัยรุนแรงต่อกันนั่นเอง
ซึ่งในปัจจุบัน เหตุการณ์ความขัดแย้งได้ปะทุถึงขั้นคุกคามความเป็นความตายและความอยู่รอดของคู่ขัดแย้งแต่ละฝ่ายแล้ว ประชาชนเกือบจะไม่เหลือพื้นที่สำหรับใช้ต่อสู้ขอร้องแบบสันติวิธีตามกติกาที่ชนชั้นปกครองกำหนดเงื่อนไขไว้ได้ อีกต่อไป


ประชาชนไทย ย่อมจำเป็นต้องยกระดับขบวนการต่อสู้ จากเดิมที่ต่อสู้แบบรักความเป็นธรรม ขึ้นสู่การต่อสู้ทางชนชั้น ที่มีการจัดตั้งเป็นขบวนการปฏิวัติ ซึ่งต้องมีความรู้ทางทฤษฎีและมีเจตนารมณ์ มีทั้งจัดตั้งจากต่างคนต่างสู้ มาร่วมเป็นขบวนการต่อสู้ จากแนวคิดเข้าสู่ขั้นปฏิบัติการ  จากต่างกลุ่มต่างก้อน เข้าสู่ขั้นมีพรรคหรือองค์การนำที่ปฏิวัติ  จากผู้รักความเป็นธรรมทั่วไป เข้าสู่การจัดตั้งมวลชนปฏิวัติ มีแผนงาน มีโครงการมีวินัยเพื่อใช้ต่อสู้ที่ปฏิวัติกำลังจะเกิดขึ้น  

เมื่อมีองค์กรนำและพรรคของชนชั้นที่ถูกปกครองเข้าปฏิบัติการตระเตรียมการลุกขึ้นต่อสู้อย่างมีองค์ความรู้ มีเจตนารมณ์ มีเป้าหมายกำจัดโค่นล้ม และกวาดล้างฝ่ายครองอำนาจนำเดิม  และต้องการเข้าปกครองแทนชนชั้นเดิม ด้วยการทำสงครามการต่อสู้ทางชนชั้นอย่างเข้มข้น
ขบวนปฏิวัติไทย จึงกำลังเข้าสู่ยุคเผชิญหน้ากับ “ขบวนปฏิปักษ์ปฏิวัติอันเข้มข้น ดุเดือด แหลมคม เอาเป็นเอาตายอย่างถึงที่สุด” เช่นกัน 

ประชาชนและสมาชิกขบวนปฏิวัติไทย จึงต้องตระหนักรู้ถึงคู่ต่อกรที่เป็น “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”ในเป้าหมาย และรูปแบบการกระทำปฏิปักษ์ชนิดต่างๆ รู้ถึงทิศทางที่มาทำร้ายประชาชน รู้ประเภท ขนาด จำนวน รู้ระดับความรุนแรง และรู้ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีกำจัดปฏิปักษ์ปฏิวัติ รู้จังหวะก้าวการบุกรุกทำลายที่มาจากฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติ และรู้จังหวะก้าวในการต่อต้าน กำจัด กวาดล้าง ทำลาย ปฏิปักษ์ปฏิวัติทั้งในขั้นตอนรับ ยันและรุก รวมถึงวันประกาศชัยชนะและระยะสร้างสรรค์สังคมใหม่


ขบวนปฏิวัติไทยต้องจำแนกแยกเรา-มิตร –ศัตรู ท่ามกลางความขัดแย้งที่สับสนนั้นได้ 
อะไรคือ “ความเห็นต่างภายในขบวนปฏิวัติ” ไม่สวมหมวกให้กัน  
อะไรคือ “ความเห็นต่างระหว่างมิตรหรือแนวร่วมนอกขบวนจัดตั้งของฝ่ายปฏิวัติ” 

อะไรที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ที่เป็น “ปัญหาการรับรู้”
และอะไรคือปัญหาจงใจทำลายขบวนปฏิวัติจาก “ปัญหาจุดยืนทางชนชั้น” 

อะไรคือ “ความคิด-อุดมการณ์ที่ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”
อะไรคือลัทธิแก้ ลัทธิฉวยโอกาส ที่ทำลายหลักการพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ!!!

ขบวนปฏิวัติไทย ต้องจำแนกระหว่าง “ความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ” กับ “การกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ” คืออะไร  มาตรการจัดการทั้งสองชนิดนี้ ต่างกันอย่างไร? อะไรคือ คิด-พูด-ทำแบบ“ปฏิกิริยา” อะไรคือคิด-พูด-ทำแบบ “ปฏิวัติ” ระดับการเป็น “ปฏิปักษ์เฉพาะเรื่อง” กับ “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”ที่มีลักษณะทั่วไปและเป็นปัญหาหลักการคืออะไร? อะไรคือการจัดการที่ “ไม่ซ้ายไป” หรือ “ไม่ขวาไป”อะไรคือการรักษาโรคเพื่อช่วยคน  อะไรคือการใช้ผลลัพธ์จากการปฏิบัติมาพิสูจน์ความเห็นต่าง อะไรคือความขัดแย้งในหมู่ประชาชน อะไรคือปัญหาหลักการ-ท่าที-ท่วงทำนอง ฯลฯ แต่ละประเด็นอยู่ภายใต้เงื่อนไขใด ?จัดการอย่างไร?

« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2014, 03:58:52 PM »
มาตรการที่เหมาะสมในการกำจัด “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”คืออะไร? โทษขั้นเบาคืออะไร? โทษขั้นหนักคืออะไร? ในเงื่อนไขสถานการณ์ใดบ้าง ที่จะทำให้จังหวะก้าวในการกำจัด”ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”นั้น  แล้ว ได้ผลดีทางการเมือง-ได้ผลดีต่อขบวนปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชนไทย

   ลักษณะทั่วไปของปฏิปักษ์ปฏิวัติ คือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อขัดขวาง กดทับ ต่อต้าน ต่อสู้ มุ่งทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติ มีลักษณะเด็ดเดี่ยว เด็ดขาด ไม่ประนีประนอมอ่อนข้อให้กับการปฏิวัติ

   ปฏิปักษ์ปฏิวัติ หมายถึงคน กลุ่มคน ชนชั้น พรรคการเมือง องค์กรที่เป็นปฏิกิริยา โดยได้มีปฏิบัติการที่มุ่งทำลายการปฏิวัติ  ต่อต้านการปฏิวัติ ซึ่งมีเนื้อหาและรูปแบบแสดงออกต่างๆ เช่น ต้านระบบคิดปฏิวัติ ทำลายบุคคล ทำลายนักปฏิวัติ ทำลายขบวนการ ทำลายการจัดตั้งหรือองค์กรปฏิวัติ ทำลายปฏิบัติการที่ปฏิวัติ ทำลายทรัพย์สิน และดอกผลชัยชนะต่างๆ ของประชาชนหรือการปฏิวัติ
   ดังนั้น ปฏิปักษ์ปฏิวัติ จึงมีที่มา มีองค์ประกอบ มีวัตถุประสงค์ มีเครื่องมือ มีวิธีการต่างๆ เพื่อทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติ มีปลายทางสูงสุดคือทำลายการปฏิวัติให้สิ้นไปอย่างไม่อ่อนข้อไม่ประนีประนอม  ซึ่งฝ่ายปฏิวัติจะต้องกำจัดปฏิปักษ์ปฏิวัติด้วยความเข้าใจเห็นชัดเจนในกฎเกณฑ์ ธาตุแท้ และเป้าหมายของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติ และจำต้องกำจัดกวาดล้างอย่างเด็ดขาดไม่ประนีประนอมเช่นกัน 

  “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”มีพื้นฐานมาจาก ๒ ทิศทาง คือ
๑.  นอกขบวนการปฏิวัติ
๒. ภายในขบวนการปฏิวัติ 



๑. ปฏิปักษ์ปฏิวัตินอกขบวนปฏิวัติ
  มี ๒ ลักษณะ คือ  
ลักษณะกลไกดั้งเดิม และกลไกที่สร้างขึ้นใหม่


๑.๑ ลักษณะกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติดั้งเดิม หรือลักษณะพื้นฐานจากรากเหง้าคู่ขัดแย้งในสังคมเดิม ที่ชนชั้นหนึ่งครอบงำชนชั้นอื่น มีอำนาจอิทธิพลเหนือชนชั้นอื่นๆ ในสังคมนั้น ซึ่งถือเป็นฝ่ายที่มีอิทธิพลหลักในคู่ขัดแย้งพื้นฐานที่เป็นปฏิปักษ์กัน  เช่น สังคมทาสที่มีนายทาสกับทาสเป็นคู่ขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน  สังคมทุนนิยมที่มีทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐและจักรวรรดินิยมอเมริกาครอบงำ ที่ชนชั้นสูงเป็นปฏิปักษ์กับประชาชน

ในปัจจุบัน ขบวนปฏิปักษ์ปฏิวัติที่อยู่นอกขบวนปฏิวัติไทย  ที่เป็น “ขบวนหลัก” ยังคงเป็น “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ส่วน “ขบวนรอง”ภายในประเทศ ยังคงเป็นขบวนการระบบคิดย่อย หรือลัทธิย่อยชนิดต่างๆ ของชนชั้น-ชั้นชน-กลุ่ม-บุคคล-ที่มาจากนายทุนชาติ นายทุนน้อย ปัญญาชน ขุนนาง ขุนศึก นักสอนศีลธรรมเพื่อชนชั้นสูง ฯลฯ

ส่วนปฏิปักษ์ปฏิวัติที่มาจากนอกประเทศ ที่เป็นหลัก ยังคงเป็น “อิทธิพลจักรวรรดินิยมอเมริกา” ซึ่งมียุทธศาสตร์กอบโกยทรัพยกร และแทรกแซงการเมืองการปกครองประเทศอื่นทั่วโลก เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชนชั้นนายข้ามชาติในสหรัฐอเมริกาป็นหลัก  ซึ่งปัจจุบัน “สหรัฐอเมริกา”ได้จัดตั้งบุคคล เชื่อมต่อขบวนการต่อสู้ทางการเมืองไทย ทั้งฝ่ายอนุรักษ์ ปฏิรูป และแฝงมาในกลุ่มประชาชนก้าวหน้า ภายใต้เสื้อคลุม “เปลี่ยนระบอบ” และ “ประชาธิปไตยทุนเสรี”และ “สิทธิมนุษยชน” เพื่อช่วงชิงและฉวยโอกาสแปรชัยชนะของฝ่ายใดก็ตาม ให้ไปสู่ผลประโยชน์หลักของจักรวรรดินิยมอเมริกาในไทยและภูมิภาคเอเชีย

ฉะนั้น กลไกเครือข่ายของ “ชนชั้นทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐที่มีอิทธิพลอเมริกาครอบงำ”  จึงเป็น “ปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ” ที่อยู่นอกขบวนปฏิวัติ  ที่มีการจัดตั้ง มีบุคลากร พร้อมที่จะทำลายลายล้างฝ่ายปฏิวัติทันที  ซึ่งฝ่ายปฏิวัติจะต้องต่อสู้กับกลไกดั้งเดิมของฝ่ายปฏิปักษ์นี้ไปตลอดระยะเวลา จนกว่า “ฝ่ายปฏิวัติ”จะชนะเด็ดขาด สามารถสร้างสังคมที่มีคุณภาพและลักษณะใหม่ขึ้นแทนที่ได้สำเร็จแล้ว


๑.๒ ลักษณะกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติที่ศัตรูสร้างขึ้นใหม่ อันเป็นไปตามยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่ศัตรูต้องการเอาชนะฝ่ายปฏิวัติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และรูปการณ์จิตสำนึก ตามการขยายตัวและยกระดับความแข็งแกร่งของฝ่ายปฏิวัติ หรือสร้างกลไกปฏิปักษ์ใหม่ๆ เพื่อเสริมกลไกเดิมที่ไม่มีประสิทธิภาพ เช่น พรรคการเมือง องค์กรอิสระ กลุ่มมวลชนปฏิกิริยา หน่วยรบพิเศษชนิดต่างๆ เป็นต้น 
นอกจากนี้ ยังมีกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติทางเศรษฐกิจ ที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ เพื่อชิงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากประชาชน เช่น ก่อตั้งเขตเศรษฐกิจชนชั้นทุนผูกขาด จัดตั้งองค์กรส่งเสริมทุนผูกขาด การเปิดแปลงผูกขาดสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติ การเปิดเขตผูกขาดเศรษฐกิจ การขยายการลงทุนแบบผูกขาด ฯลฯ  

กลไกปฏิปักษ์ต่อต้านจิตสำนึกการปฏิวัติ และต่อต้านการสร้างองค์กรปฏิวัติ ได้แก่ สื่อชนิดต่างๆ เช่น เอเอสทีวี บลูสกาย หน่วยโฆษณาประชาสัมพันธ์ชนชั้นสูง หน่วยต่อต้านข่าวกรอง พิธีกร โฆษก นักสอนศาสนา ครู อาจารย์ เอ็นจีโอ นักวิชาการ ฯลฯ ที่ต่างออกมาทำหน้าที่เบี่ยงเบนการต่อสู้ปฏิวัติ ทั้งต่อต้านระบบคิด ปลูกฝังความเชื่องมงาย รวมถึงการหลอกลวงในเกมการเมืองเฉพาะหน้าต่างๆ ต่อต้านกิจกรรม “ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย” ให้ลดเหลือแค่ “เรียกร้อง ขอร้อง ก่นด่า คร่ำครวญ” ลดระดับการต่อสู้ ลดคำขวัญ ลดเข็มมุ่ง ลดแนวรบด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม มิให้เห็นการต่อสู้ทางชนชั้นให้ครบทุกด้าน หรือแยกส่วนให้เบี่ยงเบนไปด้านใดด้านหนึ่งเพื่อยุทธศาสตร์เฉพาะหน้าของชนชั้นอื่น 

ไม่สร้างนักปฏิวัติที่มองเห็นองค์รวมทางชนชั้นทั้งระบบ ต่อต้านการรวมตัวจัดตั้งของมวลชน สลายวินัยกลุ่มก้อนฝ่ายประชาชน มุ่งสลายระบบคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ มิให้ประชาชนมองเห็นศัตรูหลัก  แนวทาง หนทาง และปลายทางต่อสู้ ที่แท้จริง  หรือ ให้มองเห็นด้านเดียวของ “มิตร”หรือ “แนวร่วม” ไม่ให้เห็น “ทวิลักษณะ”ที่แนวร่วมมีทั้ง “จังหวะก้าวและระบบคิดที่ถูกและผิด” เพื่อลดทอนสติปัญญาของประชาชนในการวินิจฉัย “จังหวะก้าว” ที่จะร่วมส่วนต่อสู้แบบเสมอภาค เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม  กลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติภายนอกขบวนการที่มีมาแต่เดิม กับกลไกปฏิปักษ์ปฏิวัติที่ศัตรูสร้างขึ้นใหม่นี้  จะมีพลังต่อสู้ เพื่อทำลายล้างขบวนปฏิวัติเพิ่มขึ้นหรือไม่ นั้น  ย่อมขึ้นกับพัฒนาการด้านความเข้มแข็งของขบวนปฏิวัติเอง  ว่าอยู่ในขั้นใด เป็นภัยคุกคามต่อชนชั้นสูงหรือไม่ เป็นต้น

ในระยะก่อตัว “ตั้งไข่” ของฝ่ายปฏิวัติ  ไปจนถึงการมีขบวนการ และการลุกขึ้นสู้นั้น จะถูกฝ่ายปฏิปักษ์เข้าทำลายล้างไปตลอดสายทางการต่อสู้ ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติบางหน่วยมีลักษณะชั่วคราว เกิดขึ้นเฉพาะกิจ ฝ่ายปฏิปักษ์บางหน่วยมีลักษณะถาวร เพราะมีภาระกิจกำจัดทำลายฝ่ายปฏิวัติตลอดช่วงระยะเวลาแห่งการต่อสู้

ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติถือการทำลายล้างฝ่ายปฏิวัติแบบเด็ดขาดไม่ประนีประนอมด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ เช่น ใช้ระบบคิดแบบปฏิกิริยาทำลายระบบคิดที่ปฏิวัติ ใช้คนทำลายคน ใช้องค์กรทำลายองค์กร ใช้กองทัพปฏิกิริยาทำลายกองทัพประชาชนที่ปฏิวัติ  ทำลายการนำ ทำลายองค์กรนำ ทำลายการสื่อสาร ทำลายมวลชนที่ปฏิวัติ เป็นต้น

ในระยะที่ฝ่ายปฏิวัติเริ่มสร้างเอกภาพทางความคิดในขบวนการปฏิวัติ  ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติก็จะทุ่มโถมบุคลากรและองค์กรปฏิปักษ์เข้าทำลายระบบคิด  และเมื่อขบวนปฏิวัติเริ่มมีบุคลากร เข้าร่วมการจัดตั้งเป็นขบวนการปฏิวัติ มีพรรคปฏิวัติ มีกองทัพประชาชน มีมวลชนปฏิวัติ มีแนวร่วมปฏิวัติ ฯลฯ แล้ว ระดับการต่อต้านทำลายล้างของศัตรูก็จะมีพัฒนาการ ดุเดือดเข้มข้นเพิ่มขึ้น พวกเขาจะระดมกำลังคน และเครื่องมือเข้าเกาะติดทำลายฝ่ายปฏิวัติในทุกแนวรบ ในทุกแนวจัดตั้ง อย่างกระชั้นชิดมากขึ้นเช่นกัน  


๒.๒ ปฏิปักษ์ปฏิวัติภายในขบวนปฏิวัติ
 
เมื่อขบวนปฏิวัติเติบใหญ่ขยายตัวไป มีนักปฏิวัติ มวลชน ผู้ปฏิบัติงาน ผู้นำและสมาชิกปฏิวัติเข้าร่วมจำนวนมาก การต่อสู้ของประชาชนที่พัฒนาเริ่มจากจิตสำนึกรักความเป็นธรรม แล้วยกระดับเข้าสู่จิตสำนึกทางการเมือง และพัฒนาสูงขึ้นไปสู่จิตสำนึกการต่อสู้ทางชนชั้นนั้น  นักปฏิวัติย่อมมีประสบการณ์และบทเรียนที่แลกมาด้วยเลือดชีวิต และน้ำตา ผ่านความพ่ายแพ้และผ่านความยากลำบากครั้งแล้วครั้งเล่า

ท่ามกลางการต่อสู้ทางความคิด สถานการณ์ที่บีบคั้นจากการล้อมปราบเข่นฆ่า และการหลอกลวงของฝ่ายศัตรูอย่างหนักหน่วงเหล่านี้ ด้านหนึ่งคือเบ้าหลอมนักปฏิวัติให้แข็งแกร่งยืนหยัดกล้าต่อสู้กล้าเอาชนะ เด็ดเดี่ยวเชี่ยวชาญขึ้น  

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏสภาวะที่หดหู่ ท้อถอย และเสื่อมทราม ของนักปฏิวัติ ในที่สุดก็กลายสภาพเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติ ที่หลุดออกไปจากขบวนแถวของการปฏิวัติ ไปเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูได้

ขณะเดียวกัน ภายในขบวนปฏิวัติก็จะเกิดมีกลุ่มฝ่ายของพวกปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างหลากหลายเช่นกัน เช่น  เกิดพวกฉวยโอกาส  พวกเย่อหยิ่งทนงตนพวกลัทธิแก้(แก้หลักการพื้นฐานของลัทธิมาร์กซ-เลนิน) เกิดพวกลัทธิย่อย เช่น ลัทธิขุนนาง ลัทธิขุนศึก ลัทธิวีรบุรุษ ลัทธิแล้วแต่เจ้ากรรมนายเวร ลัทธิสับสนปนเป(เคออส) ลัทธิประชาสงเคราะห์ ฯลฯ

ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติอันเกิดจาก “สนิมเนื้อในเหล็ก” นี้ มีรากเหง้ามาจาก
๑.การศึกษาทฤษฎีที่ไม่เพียงพอ
๒.ขาดจุดยืนทางชนชั้นที่มั่นคง


ปฏิปักษ์ปฏิวัติในขบวนปฏิวัติ ที่มีสาเหตุจากการไม่ศึกษาเรียนรู้ให้เข้าใจในทฤษฎีปฏิวัติ 
ไม่เข้าใจหลักปรัชญาของลัทธิมาร์กซ ฯลฯ ไม่กุมหลักปรัชญาวัตถุนิยมวิภาษ ในการมองโลก รับรู้โลกและอธิบายโลก  และไม่ใช้วิภาษวิธีไปแก้ไขปัญหา ไปดัดแปลงโลก ไม่แจ่มชัดในทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้น และไม่สามารถประสานทฤษฎีที่เป็นกฎทั่วไปกับลักษณะเฉพาะได้ ไม่สามารถวิเคราะห์สังคมตามจุดยืน ทัศนะ และมรรควิธีของลัทธิมาร์กซ เป็นต้น

ปฏิปักษ์ปฏิวัติในขบวนปฏิวัติที่มีสาเหตุจากจุดยืนทางชนชั้น หรือไม่ยืนบนผลประโยชน์ของประชาชน ไม่เข้าใจต่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าและระยะยาวไกลของชนชั้นกรรมาชีพนั้นเป็นอย่างไร ขาดอุดมการณ์การต่อสู้ทางชนชั้นเพราะไม่เข้าใจระยะผ่านจากสงครามชนชั้นสู่การสลายชนชั้นในที่สุด แต่กลับเอาระบบคิด หรือ อุดมการณ์ชนชั้นอื่นมาเป็นจุดยืนในการดำเนินชีวิต  เช่น ใช้จุดยืนแบบประชาธิปไตยปวงชนบ้าง มนุยธรรมบ้าง สิทธิมนุษยชน หรือศีลธรรมที่ปราศจากชนชั้นบ้าง  ซึ่งล้วนขาดจุดยืนทางชนชั้น

นอกจากนี้ การไร้จุดยืนเพื่อประชาชนยังมาจากสาเหตุอื่นๆ อีก  เช่น ไม่อาจทนทุกข์ทรมานจากความยากลำบากของการปฏิวัติ  ถูกศัตรูจับกุมคุมขัง ถูกบังคับข่มขู่ ทรมาน ได้รับสินจ้างรางวัลจากศัตรู การมีผลประโยชน์ร่วมในระบอบกดขี่ขูดรีด หรืออาจเกิดจากหลายสาเหตุดังกล่าวรวมกัน

   อย่างไรก็ตาม ลักษณะทั่วไปของปฏิปักษ์ปฏิวัติไทยตามที่ได้กล่าวข้างต้นนั้น ก็อยู่ภายในบริบทตามกฏเกณฑ์ที่ว่า “สรรพสิ่ง ในจักรวาลมีการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ พัฒนาและวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาติแบบวัตถุนิยมวิภาษวิธี” 
ฉะนั้น  เมื่อสังคมมี “ขบวนปฏิวัติ”ก็มีด้านตรงข้ามคือ “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ”นั่นเอง

   ตามหลักวิภาษวิธีนั้น สิ่งเก่าที่เป็นด้านหลักของคู่ขัดแย้งอยู่แต่เดิม(Thesis) เช่น  ชนชั้นผู้ปกครองต่างๆและสมุนบริวารที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ จะถูกคุ่ขัดแย้งด้านรองหรือด้านตรงกันข้าม(ฝ่ายปฏิวัติ)เข้ามาโต้แย้ง(Antithesis) ในที่สุดจะเกิดสิ่งใหม่(Synthesis) คือ “สังคมใหม่” ที่เกิดหลังจากฝ่ายปฏิวัติเอาชนะฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติได้แล้ว 


    สำหรับประเทศไทยที่มีฝ่ายอนุรักษ์ครอบงำและมีอำนาจล้าหลังมานาน จนเกิดมีขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชนไทยเกิดขึ้น ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงได้กลายเป็นฝ่ายปฏิกิริยาต่อต้านการปฏิวัติไทยยุคใหม่ และฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็คือปฏิปักษ์ปฏิวัติโดยพื้นฐานของความขัดแย้งกับประชาชนไทยนั่นเอง

   กฏความขัดแย้งนี้ จะสิ้นสุดลงจนกว่าฝ่ายปฏิวัติจะมีชัยชนะเด็ดขาด สามารถสลายคุณภาพที่เป็นสมบัติหลักเดิมของฝ่ายศัตรูลงอย่างสิ้นเชิง จนเกิดสิ่งใหม่ที่มีคุณภาพใหม่ สังคมใหม่ เหล่านี้คือลักษณะทั่วไป

   ส่วนลักษณะเฉพาะของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติไทยยุคปัจจุบัน คือมีลักษณะที่สลับซับซ้อนมากกว่าสังคมอื่น มากกว่ายุคสมัยของคาลมาร์กซ ที่ให้กำเนิดแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อ ๑๖๐ ปีก่อน  มีความยุ่งยากซับซ้อนในการต่อสู้ปฏิวัติมากกว่าสมัยการปฏิวัติในโซเวียตรัสเซียยุคเลนิน และการปฏิวัติจีนยุคเหมาเจ๋อตงอย่างมาก

  ทั้งนี้ เป็นเพราะสังคมไทยอยู่ในยุคสมัยที่สังคมโลกมีลักษณะเป็นทุนผูกขาดโลกาภิวัตน์ขั้นเก็งกำไร และสังคมไทยเองก็มีพหุลักษณะภายใต้ “สังคมทุนนิยมที่มีทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐและจักรวรรดินิยมอเมริกาครอบงำ” ซึ่งมีสังคมย่อยต่างๆ หลากหลายซ้อนทับกันในสังคมใหญ่อีกด้วย
   สังคมเก่าและสังคมใหม่มีลักษณะสบสนปนเป ทั้งระบบคิด  ระบบทำมาหากิน  อุดมการณ์ และกิจกรรมการเมือง  สังคมที่มีส่วนประกอบทางชนชั้น ชั้นชนต่างๆ  ในลักษณะของทาส ไพร่ เสรีชน ทุนเสรี ทุนผูกขาด ขุนนาง ขุนศึกศักดินา นายจ้างลูกจ้าง สังคมนิยม สหกรณ์ รัฐสวัสดิการ ทุนผูกขาด และมีระบบคิดแบบโลกาภิวัตน์ ระบบคิดงมงายแบบภูติผีปีศาจ หมอดู ไสยศาสตร์ มายาคติที่กลัวคอมมิวนิสต์ กลัวชนชั้นกรรมาชีพ ความพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์ ภาพหลอนสงครามและการต่อสู้ในจีน ในเขมร ฯลฯ รวมอยู่ในสังคมเดียวกัน ยุคเดียวกัน ซ้อนทับกันอย่างยุ่งเหยิง จนไม่อาจจะอธิบายต่อสาธารณะได้ง่ายๆ ถ้าไม่มีหลักลัทธิมาร์กซ-เลนิน


   ประชาชนในสังคมไทย ชนชั้นปกครองไทย และขบวนการปฏิวัติไทยดำรงอยู่ในภววิสัยทางสังคมที่ซับซ้อนมาก จนยากที่จะคลี่ขยายความสัมพันธ์ระหว่างคนในชนชั้นและชั้นชนในมิติการเมือง การปกครอง การเศรษฐกิจ และรูปการจิตสำนึก ให้ประชาชนมองเห็นการกดขี่ขูดรีดได้ง่ายๆ

ในขบวนปฏิวัติไทย  สมาชิกไม่ได้ลอยลงมาจากฟากฟ้าแบบเพ้อฝัน หากมาจากผู้ทุกข์ยากและเห็นสัจจะทางสังคมในระดับพื้นฐานทางชนชั้นแล้ว  แต่ก็ยังอยู่ในขบวนการดัดแปลงโลกดัดแปลงตน ทั้งระบบคิดและการปฏิบัติอย่างไม่ขาดสายตลอดชีวิต  ฉะนั้น ในภาพใหญ่คือ “เอกภาพทางความคิด เอกภาพและเอกภาพทางจัดตั้ง” แต่ในภาพย่อยๆ ก็ย่อมมี “ความเห็น เจตนารมณ์ ท่าที ท่องทำนองที่แตกต่าง”จำนวนไม่น้อย  ซึ่ง สมาชิกนักปฏิวัติไทยยุคใหม่ จึงต้องยึดกุมหลักทั่วไปของลัทธิมาร์กซให้มั่น ประสานอย่างเข้าใจในรูปธรรมใหม่ๆ ด้วย ท่าทีและวิธีการของวิภาษวิธี –วิพากษ์-วิเคราะห์ –สังเคราะห์ และอธิบายต่อประชาชน เพื่อจำแนก “ปฏิปักษ์ปฏิวัติ” และ “ปฏิวัติ” อย่างเหมาะสม มีลักษณะชนชั้น ลักษณะมวลชน ลักษณะสู้รบ อย่างไม่ขาดสาย

เนื่องจาก ประชาชนมองเห็นศัตรู เห็นมิตร และเห็นชนชั้นตนด้วยความยากลำบากยิ่งนัก เช่น ปัญหาของตนอยู่ที่ไหน  เกิดปัญหาจากใคร  หน่วยงานใด ชนชั้นใดกันแน่ที่สร้างชะตากรรมให้กับคนส่วนใหญ่  อนาคตของแต่ละชนชั้น มีทางออก มีความหวัง ในโครงสร้างสังคมนี้หรือไม่ อย่างไร

   ศัตรูของประชาชนทางการเมืองคือใคร   ทางเศรษฐกิจคือใคร  ความขัดแย้งหลัก ความขัดแย้งรองคือใครกับใคร  ชนชั้นใดคือด้านหลักของปัญหาของสังคม  ในมิติการทำความเข้าใจฐานะทางชนชั้นนั้น จะถอดระหัสหรือเอากฏเกณฑ์ธาตุธาตุฐานะทางชนชั้น จะเอามาจากหลักเกณฑ์พื้นฐานอะไร 

การผลิต การตลาด การบริการ การค้า การเงินการธนาคาร การเก็งกำไรสร้างความสัมพันธ์ทางชนชั้นอย่างไร  กดขี่ขูดรีดระหว่างกันอย่างไร  มูลค่าแรงงานและมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างไร  กรรมาชีพยุคใหม่คือใคร  การขูดรีด การเอาเปรียบการเสียเปรียบคืออะไร  อยู่ที่กลไกใด  

สิ่ง เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ลัทธิมาร์กซที่เป็นหลักทั่วไป เข้าไปประสานกับสถิติ ข้อมูล และความเป็นจริง เพื่อจะอธิบายคลายปมปัญหาความเข้าใจต่อสภาพความขัดแย้งในสังคม เพื่อให้ประชาชนเห็นฐานรากโครงสร้างอันทุกข์ทนของประชาชนยุคใหม่ที่ซับซ้อนนี้ ซึ่งฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติขัดขวางองค์ความรู้ในแนวคิดแบบลัทธิมาร์กซนี้ เช่นกัน



  นอกจากนี้ เมื่อลักษณะเฉพาะของการปฏิวัติไทยยังมีลักษณะที่ขบวนการปฏิวัติไทยเองก็ผ่านความล้มเหลว พ่ายแพ้ ในการต่อสู้ในยุคชนบทล้อมเมือง   และยังมีความแตกแยกภายในพรรคปฏิวัติเดิม(พคท.)

ทำให้มีขบวนการต่อสู้ที่เอาศัตรูเป็นมิตร เอามิตรเป็นศัตรู 

เอาศัตรูรอง หรือศัตรูในอนาคตมาเป็นศัตรูปัจจุบัน 

และยังมีภาวะถดถอยยอมจำนนของคณะนำ

มีการทำลายเกียรติภูมิของกองทัพปลดแอกประชาชนลงโดยการเอาสัญลักษณ์สู้รับกองทัพปลดแอกประชาชนไปรับใช้ศัตรูของประชาชน
อย่างครึกโครม 

และขบวนปฏิวัติไทยยังผ่านการรับรู้ในสถานการณ์ที่รัฐบาลของฝ่ายปฏิวัติในประเทศสังคมนิยมล่มสลาย เช่น รัสเซีย เยอรมันตะวันออกฯลฯ ผ่านการแปรเปลี่ยนนโยบายทางเศรษฐกิจในประเทศสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะแบบจีน ผ่านการกระทำโจมตีในปฏิบัติการจิตวิทยาของจักรวรรดินิยมอเมริกา และชนชั้นปกครองไทย

ฝ่ายขบวนการปฏิวัติไทยผ่านบทเรียนที่ล้มลุกคลุกคลาน เป็นฝ่ายถูกกระทำ ขณะเดียวกันฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติไทยก็มีบทเรียนในด้านต่างๆ เช่นกัน เช่น มีองค์ความรู้เก่าและใหม่ในการต่อต้านฝ่ายปฏิวัติ  มีแนวร่วมปฏิปักษ์ปฏิวัติจากชนชั้นที่ได้ประโยชน์ในการโครงสร้างทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ  มีสมาชิกฝ่ายปฏิวัติที่ทรยศเข้าร่วมขบวนปฏิปักษ์ปฏิวัติในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย


   มีทั้งนักปฏิวัติที่เคยเข้าร่วมการต่อสู้ในเขตป่าเขา ออกมาโจมตีระบบคิดสังคมนิยม โจมตีลัทธิมาร์กซ โจมตีขบวนการของ พคท.ในอดีต  ดูถูกผู้ใช้แรงงาน เชิดชูชนชั้นกลางนำชัย ฯลฯ ซึ่งเขาเหล่านั้น ได้เป็นกระบอกเสียงปฏิปักษ์ปฏิวัติต่ออุดมการณ์และขบวนการของฝ่ายประชาชนผู้ยากไร้อย่างเอาการเอางาน

   สังคมไทย จึงมีขบวนปฏิปักษ์ปฏิวัติที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ที่ไม่เหมือนใครในโลก ปฏิปักษ์ปฏิวัติมีขึ้นมากมาย ทั้งเกิดจากชนชั้นปกครองสร้างขึ้น และเกิดจากชนชั้นนายทุนระดับรองๆลงมาสร้างขึ้น  รวมทั้งปัญญาชนที่รับใช้ชนชั้นสูง และปัญญาชนที่หลงป่าทางวิชาการอันยุ่งเหยิงจากสำนักคิดย่อยชนิดต่างๆ ก้าวมาสมทบเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกด้วย  ซึ่งต่างได้แสดงตัวตนเผยแพร่ระบบคิดปฏิปักษ์ปฏิวัติ ผ่านระบบการสื่อสารยุคใหม่ ทุกช่องทาง  อันเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติตั้งแต่ขบวนการปฏิวัติกำลังก่อตัวขึ้นใหม่ 
นอกจากนี้ การปฏิวัติสังคมไทยยุคใหม่ยังต้องเผชิญกับกองกำลังฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติขนาดมหึมา ฝ่ายศัตรูมีกลไกรัฐ ทุน อำนาจ อิทธิพล กฎหมาย องค์กร องค์ความรู้ ประสบการณ์  เทคโนโลยีและเครื่องมืออุปกรณ์ระดับ “หูทิพย์ตาทิพทย์”ที่จะใช้กำจัดฝ่ายปฏิวัติจำนวนมาก

สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติในสังคมไทยดังกล่าวจึงเป็นลักษณะเฉพาะของปฏิปักษ์ปฏิวัติไทย ที่นำมาซึ่งความยากลำบากในการต่อสู้ปฏิวัติของสังคมไทยอย่างสูงสุด และท้าทายมิตรสหายนักปฏิวัติลัทธิมาร์กซในขบวนการปฏิวัติไทยยุคใหม่ ว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาด้วยศักยภาพทาง “อัตวิสัย” หรือ “พลังวิริยภาพทางอัตวิสัย”ในการ เปิดขุมทรัพย์ปัญญาทางทฤษฎีการปฏิวัติไทยยุคใหม่ ที่ใช้ลัทธิมาร์กซเป็นแว่นขยาย เป็นเข็มทิศ และเป็นกล้องส่องทางไกล  

นักปฏิวัติไทยจะมี “อัตวินิจฉัย”ใน “จุดยืนชนชั้นกรรมาชีพยุคใหม่” หรือยืนข้างมวลชนผู้อยากไร้ตัวจริง ได้ถูกตรงหรือไม่  เป็นตัวแทนผลประโยชน์ประชาชนส่วนใหญ่จริงๆ ได้หรือไม่
   
 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติจะมีจุดแข็งแกร่ง แต่ก็มีจุดอ่อน ที่เป็น “จุดพินาศ” ของตนที่ไม่อาจหลบหนีจากการถูกมวลชนทำลายล้างและกวาดล้างเช่นกัน นั่นคือ “จุดยืนและเป้าหมาย”ของฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติอยู่ที่ปกป้องรักษา “ทุนผูกขาดศักดินาเหนือรัฐ” ที่เป็นชนชั้นละโมบโลภมาก เห็นแก่ตัว มุ่งรักษาระบอบผูกขาดกรรมสิทธิ์เอกชนสำหรับชนชั้นสูงใช้กดขี่ขูดรีดประชาชนไว้อย่างถึงที่สุด 

นี่คือจุดยืนที่ฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติได้สูญเสียความชอบธรรมพื้นฐานให้แก่ชนชั้นกรรมาชีพยุคใหม่ แล้ว และ “การกดขี่ขูดรีด” เป็น “จุดเรียกแขก”หรือ จุดระดมประชาชนให้มารวมพลังกับฝ่ายปฏิวัติ เพื่อไปต่อสู้กำจัดโค่นล้มทำลายล้างฝ่ายปฏิปักษ์ปฏิวัติอย่างถึงรากที่สุดเช่นกัน.