ทุนนิยมเริงระบำ ตอน 1 ของขวัญปีใหม
ทุนนิยมเริงระบำ ตอน ของขวัญปีใหม่
ก่อน
จะกลายร่างมาเป็นนักเขียนรายงานเช่นในปัจจุบัน
หลังออกจากองค์กรด้านเด็กผมได้เคยถูกโชคชะตาฟ้าลิขิตพัดพาให้สถิตสิงสู่อยู่
ในองค์กรธุรกิจใหญ่ยักษ์ “วี๊ดบึ้ม” ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เมื่อมีโอกาสเลือดลมฉีดแรงหน้าแดงก่ำ
ก็ได้เคยเล่าประสบการณ์ตรงเหล่านี้แลกเปลี่ยนกับพี่น้องคุ้นเคยกันกลุ่ม
หนึ่งอยู่เป็นประจำ
ชะรอยพี่น้องเหล่านั้นคงเห็นว่าเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า
หรือไม่ก็เห็นว่าไม่น่าจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
เลยยุแกมล่อใจรวมทั้งเอาของขมมากำนัล
รอโอกาสจนถึงช่วงชื่นชุลมุนจึงชวนผมมาร่วมวงแลกเปลี่ยนเรื่องราวเหล่านั้น
โดยผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารับปากพวกมันตอนไหน
และนั่น.....ความซวยจึงมาเยือนท่านผู้อ่านทุกท่าน ณ บัดนี้ตราบกาลเบื้องหน้า
องค์กร
ที่ผมเคยสังกัดอยู่เป็นธุรกิจเอกชนยักษ์ใหญ่ข้ามชาติสัญชาติไทย
(เป็นความพยายามดันให้เป็นไทยจนได้ของทีมงานภาพลักษณ์)
ประกอบธุรกรรมหลักด้านเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร มีสำนักงานใหญ่อยู่ถนนสีลม
เล่ามาถึงตรงนี้ไม่รู้ว่าจะปิดไปทำแมวอะไร
ใช่ครับทุกคนรู้จักองค์กรนี้ในนาม “เครือเจริญโภคภัณฑ์” หรือ “ซี.พี.”
หน่วย
งานที่ผมสังกัดอยู่เป็นทำงานด้านภาพลักษณ์องค์กร
มีหน่วยย่อยอยู่หลายหน่วยงาน
พี่เอื้อยที่ดูแลเป็นคนเดือนตุลาตัวจริงเสียงจริงเพราะเกิดเดือนตุลาคม
ไม่เหมือนบางคนที่มาร่วมการเคลื่อนไหวของประชาชนแต่อ้างว่าเป็นคนเดือนตุลา
ทั้งๆ ที่เกิดเดือนอื่น
ถ้าใครเคยดู “คนล่าจันทร์”
หนังหลายรางวัลของบัณฑิต ฤทธิกล
พี่เอื้อยท่านนี้คือนักศึกษาใส่แว่นที่เดินมาบอกให้ “พี่เสก ลงมาได้แล้ว
เขาตกลงกันได้แล้ว”
เพื่อให้พี่เสกลงมาจากหลังคารถคราวเคลื่อนขบวนมหาประชาชนไปหน้าสวนจิตรลดา
แต่พี่เสกไม่ยอมลง
เรื่องราวหลังจากนั้นหลายคนคงเคยสดับรับฟังกันมาบ้างแล้วจะไม่เล่าอีกให้
เข้าใจคลาดเคลื่อนกันไปใหญ่
การทำงานด้านภาพลักษณ์ทำให้ผม
เรียนรู้เรื่อง “วาทกรรม” โดยยังไม่ทันจะรู้จักคำๆนี้ด้วยซ้ำ
และนั่นนำไปสู่การประดิษฐ์วาทกรรมขึ้นมาใหม่อีกหลายตัวเพื่อแย่งชิงความชอบ
ธรรมในหลายๆเรื่อง
เวลาได้ยินพี่น้องนักเขียนรายงานวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาล “ครัวไทย
ครัวโลก” หรือ “Kicthen of the World” ทั้งในวงสัมมนาหรือวงกับข้าว
ผมก็ได้แต่หัวเราะ หึหึ เพราะรัฐบาลไม่น่าประดิษฐ์คำอะไรได้ลงตัวขนาดนี้
วันหนึ่งปลายปี 2540 พี่เอื้อยเรียกหัวหน้าและผมไปพบ
“นี
ผมขอปรึกษาหน่อย คือมีงานที่ผมคิดว่าเหน่งน่าจะทำได้ดี
ผมเลยจะขออนุญาตใช้เหน่งหน่อยนะ”
เป็นรูปแบบการพูดของพี่เอื้อยที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ทั้งสุภาพ ทั้งถ่อมตัว
ขอคำปรึกษา ขอร้อง ไม่เคยออกคำสั่ง จนผมขโมยมาใช้
และพอจะทำได้เนียนไม่แพ้กัน รูปประโยคที่แท้จริงคือ “นี
ผมมีงานจะสั่งให้เหน่งทำ เป็นงานเร่งด่วนมาก งานอื่นของเขาให้วางไว้ก่อน”
“คุณ
ช่วยไปรวบรวมคำกล่าวของเจ้าสัว ในวาระโอกาสต่างๆ ทำเป็นรูปเล่ม
ผมจะมอบให้ผู้บริหารระดับสูงเป็นของขวัญปีใหม่” พี่เอื้อยหันมาพูดกับผม
ฟังๆดูแล้วเหมือนจะง่ายและขำๆ แค่รวบรวมคำกล่าวเจ้าสัวในวาระต่างๆ
ให้น้องๆช่วยพิมพ์ เย็บเล่ม
จ่าหน้าให้พนักงานเดินเอกสารไปส่งที่เลขาฯของแต่ละท่าน...แต่จริงๆแล้ว
ผมว่าไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น
ช่วงนั้นเป็นปีที่เศรษฐกิจตกต่ำจน
ถึงขั้นวิกฤติ ทั้งๆที่ ซี.พี. รับทราบและเตรียมรับมือตั้งแต่ต้นปี 2538
(ขณะที่ตอนนั้นสังคมไทยยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร)
มีการทยอยปรับโอนย้ายเจ้าหน้าที่หน่วยงานไม่ทำกำไร (Non – profit Center)
ไปอยู่หน่วยธุรกิจ (Business Center) ปรับลดขนาดหน่วยงานลง
ช่วงที่ผมเข้ามาทำงานแรกๆ หน่วยงานผมมีเจ้าหน้าที่เกือบ 50 คน
พอเริ่มวิกฤติเศรษฐกิจ (ตามที่สังคมไทยรับรู้) หน่วยงานผมก็เหลือคนไม่ถึง
20 ชีวิตแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงไม่เคยได้ยินข่าว ซี.พี. ปลดพนักงาน ลดโบนัส
หรืออะไรทำนองนี้เวลาเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ
ที่ว่าไม่น่าจะง่าย
ขนาดนั้นเพราะองค์กรขนาด 200 บริษัท พนักงานกว่า 40,000 คนทั่วโลก
มีการโอนย้าย ปรับกำลัง เปลี่ยนยุทธศาสตร์ ฯลฯ
การรวบรวมคำกล่าวเจ้าสัวส่งให้ผู้บริหารระดับสูง
ซึ่งในรายชื่อผู้จะได้รับเอกสารชิ้นนี้มีอยู่กว่า 100 คน
ความหมายที่แท้ก็คือ
การส่งนโยบายให้ศึกษาและทำความเข้าใจก่อนจะสร้างความเสียหายอะไรให้กับ
บริษัท รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญกำลังใจพนักงานไปในตัวด้วย
ที่สำคัญเจ้าสัวเป็นคนพูดเก่ง พูดดี และในช่วงนั้นกำลัง Hot
เพราะติดอันดับวิสัยทัศน์ดีเด่นของ Financial Times
ของฮ่องกงในระดับแฮททริก และยังให้สัมภาษณ์เดี่ยวสุทธิชัย
หยุ่นในรายการเนชั่น นิวส์ทอล์ก ไปแล้วปีละครั้งและกลายเป็น Talk of the
Town ทุกครั้ง คนที่จดจำได้ดีที่สุดน่าจะชื่อสรยุทธ สุทัศนะจินดา
อ้าว
เล่าไปถึงไหนแล้วเนี่ย อ้อ.....เอ้อ แล้ว กู
จะคัดอะไรไปให้เขาอ่านกันเล่า เพราะคนที่นี่เขาเป็นพวกหมัดหนักกันทั้งนั้น
ไม่ชอบอ่านอะไรยาวๆ
แต่ไม่ว่าจะยากอย่างไร ทุกอย่างก็ต้องเสร็จเพราะมันมี “เส้นตาย”
“คุณเรียนรู้อะไรบ้าง” จู่ๆวันหนึ่งหลังปีใหม่ พี่เอื้อยก็ถามผมขึ้นมา ทั้งๆที่กำลังจะโดนรุกจน
“อะไรครับ” ผมกำลังหัดพูด อะไรวะ ในเวอร์ชั่นสุภาพ ตามองที่ม้าฝ่ายตรงข้ามไม่วางตา
“ก็ที่ผมให้รวบรวมคำกล่าวเจ้าสัวไง” พี่เอื้อยพูดพลาง ขยับม้าหนี
“อ๋อ...
ก็ต้องประเมินสถานการณ์ปัจจุบันว่าจะบอกกล่าวนโยบายอะไรดี
รวมทั้งจะหาคำกล่าวเชิงให้กำลังใจหรือปลุกปลอบขวัญอะไรบ้างจะได้บาลานซ์
ระหว่างคำสั่งกับกำลังใจครับ” ผมหงายเม็ดเป็นเบี้ยหงายไล่ม้า
“เฮ้ย...แค่นี้เหรอ” พี่เอื้อยขยับม้าหนีอีกครั้ง
“ครับ” ผมตอบงงๆ มือที่ยกเรือขึ้นมาเริ่มลังเล ลืมไปเลยว่าจะวางที่ไหน
“คุณตีความคำกล่าวเจ้าสัวได้ไหม ไหนลองยกสักช่วงที่คุณจำได้สิ” พี่เอื้อยเดินโคนขึ้นมาผูกกัน และทำให้เบี้ยหงายไม่ตรงช่องกับโคนคู่
ผมพยายามนึกคำที่โดนผมและน่าจะโดนพี่เอื้อยมากที่สุด และเข้ากับสถานการณ์ เพื่อตัวเองจะได้ดูดีแล้วพูดให้พี่เอื้อยฟัง
“นัก
ธุรกิจที่แท้จริงจะพยายามแข่งกันในขอบเขต
จะไม่แข่งจนตายหรือพังกันไปข้างหนึ่ง ถ้าเรามีความสามารถก็ไปหาธุรกิจอื่น
ทำไมต้องมาแย่งข้าวชามเดียวกันสุดท้ายไม่อิ่มสักคน แล้วก็ไม่มีประสิทธิภาพ
แล้วมันเสียไม่ว่ายักษ์ใหญ่ยักษ์น้อย”
“แล้วหมายถึงอะไร” พี่เอื้อยถาม ผมรู้สึกว่าพี่เอื้อยอยากจะใช้ม้า แต่เสไปเดินเบี้ย
“อะไรครับ” ผมงงแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกเลยเดินเบี้ยไปยันไว้
“ความหมายในคำกล่าวนั้นน่ะ ที่มากกว่าแข่งกันพอควรน่ะ” พี่เอื้อยยิ่งทำให้ผมงงมากยิ่งขึ้น เพราะแกเลื่อนเรือมาปิดช่องว่างไว้
“ไม่เข้าใจครับพี่” ผมงงและไม่รู้จะทำอะไร เลยขยับเรือมาสองตา
“ความ
หมายที่มากกว่านั้นคือ เราอย่าแข่งกันมาก
เพราะถ้าแย่แล้วมันจะมีรายใหม่ที่สดกว่าแข็งแรงกว่าเข้ามา
แล้วมันจะแย่กันไปหมด นี่เป็นคำเตือนจากยักษ์ใหญ่ คุณเข้าใจไหม
เพราะคนระดับนี้เวลาพูดอะไรเขาจะสื่อมากกว่าที่พูดและสื่อถึงทุกคนที่เกี่ยว
ข้อง” พี่เอื้อยขยายความ ขณะที่ผมคิดตามและเริ่มถึงบางอ้อ
“ที่
ให้คุณรวบรวมคำกล่าวเจ้าสัว
และที่ขยายความให้ฟังเพราะงานคุณจะต้องใช้ทักษะพวกนี้มากๆ
คุณต้องตีความให้ออก เพราะต่อไปคุณอาจต้องเขียน Speech ด้วย จะได้ซ่อนเป็น”
พี่เอื้อยอธิบายแต่ท่าทีเหมือนรออะไรบางอย่าง
“ขอบคุณครับพี่” ผมขอบคุณด้วยความจริงใจ โดยไม่ได้ซ่อนอะไรไว้
“ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่แล้วกัน” พี่เอื้อยพูดไม่ทันขาดคำ มือยกม้ามากินเรือผมฟรีๆ พร้อมรุกฆาตขุนกับเรืออีกตัว
ผมกำลังจะอ้าปากโวยว่าพี่เอื้อยโกง เพราะผมจับตามองม้ามาตั้งแต่ต้น มันไม่น่าจะใช่ตาของมัน
แต่พี่เอื้อยลุกขึ้นพูดสั้นๆให้กำลังใจผมว่า “ฝึกมากๆ หน่อยนะ เดี๋ยวก็เป็น” ก่อนจะเดินจากไป.
คำ
เตือน: เนื่องจากบุคคลในเรื่องยังไม่มีใครตาย
จึงพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อจริงทั้งหมด
เพื่อไม่ให้ผู้อ่านและผู้ถูกพาดพิงได้รับอรรถรสมากเกินพอดี
ตีพิมพ์ครั้งแรกในปาจารยสารฉบับที่ 1 ปีที่ 33 มีนาคม-เมษายน 2552
ที่มาจากเพจ https://www.facebook.com/notes/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%8C-%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E/%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B3-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99-1-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88/10150103151076607